ตามนโยบายของ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธ์ุเพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศ ไทย รวมทั้งให้ดําเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พํานักอาศัยอยู่ใน ประเทศไทย กระทําผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทําให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทําความผิด

29 มี.ค. 67 – ภายใต้การอํานวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. , พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดํารงชัย , พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1,

ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสําคัญ ดังนี้ “OVERSTAY” รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.คธาธร คําเที่ยงผกก.สส.บก.ตม.๓ พ.ต.อ.นภัสพงษ์ โฆษิตสุริยมณี ผกก.ตม.จว.ชลบุรี 1. สตม.

รวบหนุ่มเกาหลี “หัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์” เสียหายมูลค่ากว่า 200 ล้านวอน แอบกบดานเมือง
นายโอ อายุ 51 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ คอนโดมิเนียมในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี
ตม.จว.ชลบุรี ได้รับแจ้งข้อมูลจากกองการต่างประเทศ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่า นายโอ อายุ 51 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการเกาหลีใต้ ในความผิดฐานฉ้อโกง และองค์การตํารวจสากลได้ออกประกาศสีแดง (INTERPOL RED NOTICE)

โดยนายโอ มีพฤติการณ์เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งฐานอยู่ที่ประเทศจีน ได้ใช้วิธีโทรศัพท์และส่งข้อความหลอกลวงเหยื่อ ผู้เสียหายในประเทศเกาหลีใต้ โดยสร้างสถานการณ์ในรูปแบบต่าง ๆ หลอกให้เหยื่อหลงเชื่อจนโอนเงินมาให้สมาชิกใน กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในช่วงเวลา 2 สัปดาห์สามารถหลอกเหยื่อได้จํานวน 6 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านวอน

หลังจากทางการเกาหลีใต้ได้ออกหมายจับ นายโอได้หลบหนีคดีมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา ตม.จว.ชลบุรี จึงได้ ตรวจสอบข้อมูลพบว่านายโอได้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยโดยการอนุญาตสิ้นสุดแล้ว (OVERSTAY)

จากนั้นได้สืบสวน ติดตามหาตัวนายโอในย่านที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองพัทยา จนกระทั่งสืบทราบว่า นายโอได้มาเช่าคอนโดแห่ง หนึ่งในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จว.ชลบุรี จึงได้ไปตรวจสอบ เมื่อพบตัวนายโอจึงได้จับกุมนําตัวส่งพนักงาน สอบสวนดําเนินคดีในข้อหาดังกล่าว

ตม.จว.ชลบุรี จับกุม โอปป้า (นามสมมติ) โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ใน ราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นําตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จว.ชลบุรี ดําเนินคดีตามกฎหมาย
สถานที่จับกุม การจับกุมคนต่างด้าวรายนี้สืบเนื่องจาก โอปป้า (นามสมมติ)

2. สตม.ดักรวบ “โอปป้า” เนียนทํางาน AE ผับหรู ลักลอบจําหน่ายบุหรี่ไฟฟ้านักเที่ยวราตรี รายได้หลักแสน กก.สส.บก.ตม.1 จับกุมนายบลู (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าว ทํางานโดยไม่มีใบอนุญาตทํางาน (ขายบุหรี่ไฟฟ้า), ซ่อนเร้น ช่วยจําหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซื้อ รับจํานํา หรือรับไว้ โดยประการใด ซึ่งของต้องห้ามที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านวิธีศุลกากร และขายสินค้าบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือ บุหรี่ไฟฟ้า หรือตัวยาบารากู่ น้ํายาสําหรับเติมบารากู่ไฟฟ้า หรือบุหรี่ไฟฟ้า โดยฝ่าฝืนคําสั่งคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค ที่ 9/2558 นําตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดําเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ผับย่านทองหล่อ แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ

ก่อนการจับกุมในคดีนี้ กก.สืบสวน บก.ตม.1 ได้รับเรื่องร้องเรียนเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านสํานักงานตรวจ คนเข้าเมือง จากผู้ไม่ประสงค์ออกนามให้ข้อมูลว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติเกาหลีใต้รายหนึ่ง ลักลอบทํางานที่ผับหรูแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีที่มีชื่อเสียงของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และมีพฤติการณ์อื่น ๆ ที่ผิด กฎหมายต้องการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวจนปรากฏข้อมูลเป็นที่แน่ชัดว่ามีการกระทํา ความผิดเกิดขึ้นตามหนังสือร้องเรียนจริง จึงได้วางแผนโดยให้เจ้าหน้าที่ตํารวจหญิงที่มีลักษณะบุคลิกภาพดีทําหน้าที่เป็น สายลับติดต่อบุคคลเป้าหมาย ซึ่งใช้นามว่า “บลู” ทั้งทางอินสตาแกรม Kakao Talk และ LINE เพื่อจองโต๊ะโดยโอนเงิน มัดจํา 1,000 บาท เข้าบัญชีพร้อมเพย์

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุมจึงได้เข้าไปใช้บริการที่ร้านโดยนายบลูได้เข้ามาแนะนําตัวและพาไปนั่ง ที่โต๊ะ จากนั้นได้เดินไปบริการลูกค้าคนอื่นๆ และกลับมาพูดคุยชนแก้วกับเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุมเป็นระยะๆ พร้อม กับรับเงินค่าบริการจากเจ้าหน้าที่จํานวน 500 บาท หลังจากนั้นนายบลูได้เสนอขายบุหรี่ไฟฟ้าให้กับสายลับหญิง ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตํารวจชุดจับกุม โดยแจ้งว่าตนมีบุหรี่ไฟฟ้าขาย 2 กลิ่น ขายในราคาอันละ 340 บาท เจ้าหน้าที่ ตํารวจหญิงในชุดจับกุมจึงขอซื้อบุหรี่ไฟฟ้าทั้ง 2 กลิ่นอย่างละ 1 อัน โดยได้โอนเงินเข้าบัญชีพร้อมเพย์บัญชีเดิมซึ่งคาดว่า เป็นชื่อจริงของนายบลู เมื่อนายบลูนําบุหรี่ไฟฟ้ามาส่งมอบ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจตรวจ คนเข้าเมืองทําการตรวจค้นตัวนายบลูพบธนบัตรไทยหมายเลขตรงตามที่ได้ลงบันทึกประจําวันไว้ และพบบุหรี่ไฟฟ้า ยี่ห้อ KS รุ่น Quik Pod อีก 5 อัน พบบัตรพนักงานร้าน ระบุชื่อ BLUE ตําแหน่ง Account Executive (AE) เจ้าหน้าที่ จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาและจับกุมนําตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

3. สตม.รวบนักธุรกิจไต้หวัน คาคอนโดหรูหลังพบประวัติสวมบัตรตุ๋นนักลงทุนร่วมชาติก่อนเชิดเงิน หนี มูลค่าความเสียหายกว่า 600 ล้าน

สืบเนื่องจาก สตม. ได้รับการประสานข้อมูลจากกรมการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ผ่านทาง สํานักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจําประเทศไทย แจ้งข้อมูล MRS.MEILEE (นามสมมติ) อายุ 66 ปี สัญชาติ ไต้หวัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของไต้หวันรายสําคัญ ซึ่งได้ก่ออาชญากรรมในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยได้ ชักชวนหลอกลวงนักลงทุนชาวไต้หวันให้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ก่อนเชิดเงินลงทุนหนี ผู้เสียหาย ทั้งหมด 88 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 608 ล้านบาท

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. จึงได้สั่ง การให้ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุด 3

สืบสวนรวบรวมข้อมูลจนทราบว่า MRS.MEILEE ได้เข้ามาประกอบธุรกิจให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยใน ตําแหน่งรองประธานกรรมการฯ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวพบความผิดปกติ ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์หลาย ประการ ผบก.ตม.1 จึงได้ดําเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MRS.MEILEE พร้อมกับได้สั่งการ ให้ชุดสืบสวนเฝ้าติดตามสืบสวนหาข่าวจนพบเบาะแสสําคัญจากสายลับในพื้นที่ว่า MRS.MEILEE มีบุตรสาว 1 คน ที่พํานักอยู่ในประเทศไทย ชื่อ น.ส.แสงดาว (นามสมมติ)

ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทย และทะเบียนราษฎร์ ของ น.ส. แสงดาว พบว่า น.ส.แสงดาว เป็นคนไทย มีบัตรประชาชนแต่ได้ยื่นคําขอมีบัตรประชาชน เมื่อปี พ.ศ.2543 ในอายุประมาณ 18 ปี มีมารดาเป็นคนไทยชื่อนางดุจเดือน (นามสมมติ) แต่ไม่ปรากฏภาพถ่ายของนาง ดุจเดือนในฐานข้อมูล ชุดสืบสวนจึงได้ประสานงานกับสํานักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เพื่อขอภาพถ่าย ของนางดุจเดือนขณะทําบัตรประชาชนไทยครั้งแรกในช่วงประมาณปี พ.ศ.2542 จากการตรวจสอบพบว่าภาพถ่ายของ นางดุจเดือนมีความคล้ายคลึงกับ MRS.MEILEE ชาวไต้หวัน ชุดสืบสวนจึงได้มุ่งประเด็นการสืบสวนหาตัว MRS.MEILEE ไปที่ น.ส.แสงดาว จนกระทั่งทราบว่าทั้งคู่ได้พักอาศัยอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เจ้าหน้าที่จึงได้เฝ้า สังเกตการณ์จนกระทั่งได้พบ MRS.MEILEE จึงได้แจ้งหนังสือการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบ และนําตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ดําเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ต่อไป

อนึ่ง จากการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่าสุด ทราบว่าได้มีการจําหน่ายบัตรประชาชนของ นางดุจเดือน ออกจากระบบเป็นที่เรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนของการได้มาซึ่งบัตรประชาชนของบุคคลรายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สตม. จะได้ดําเนินการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทําความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทําความผิด กรุณาแจ้งมายัง สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน