วันที่ 5 เม.ย. ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Keen Pinkaew โพสต์ภาพห้องน้ำคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังใน จ.ขอนแก่น ภาพของกล้องแอบถ่ายขนาดเล็กและไมโครเอสดีการ์ด พร้อมภาพจากแชทเกี่ยวกับเรื่องกล้องแอบถ่าย โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กอธิบายเหตุการณ์ สรุปได้ว่า

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนอยู่เวรและได้เข้าห้องน้ำของเจ้าหน้าที่ พบว่ามีวัตถุสีขาวทรงกลมนูน ถูกติดตั้งบนฐานข้างโถปัสสาวะชาย รูปร่างคล้ายกับเครื่องพ่นดับกลิ่น แต่เนื่องจากตนเป็นคนที่คลุกคลีกับอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์พอสมควร จึงสงสัยว่าอาจไม่ใช่เครื่องดับกลิ่นธรรมดา และได้ถอดออกมาตรวจสอบ

พบว่ามีกล้องแอบถ่ายขนาดเล็ก และคาดว่าสามารถใช้รีโมทเปิดปิดจากระยะไกลได้ ร่วมกับมีการ์ดบันทึกความจำอยู่ เมื่อเปิดไฟล์ดูจึงพบภาพตัวเองถูกบันทึกอยู่ในวิดีโอนั้น โดยเห็นหน้าและขณะปัสสาวะ ตนจึงได้แจ้งอาจารย์ภาควิชาทันที อาจารย์จึงแนะนำให้ลองไปดูที่ห้องน้ำชั้นอื่น และให้ใส่ถุงมือไปด้วยเพื่อหวังว่าจะได้เก็บลายนิ้วมือจากวัตถุพยาน

ซึ่งเมื่อตนตรวจสอบที่ชั้นอื่นก็พบว่ามีกล้องลักษณะเดียวกัน และพบว่ามีผู้เสียหายเช่นกัน ส่วนห้องน้ำหญิงไม่พบสิ่งผิดปกติ หลังจากนั้นอาจารย์ได้มาพบตนที่ห้องพักนักศึกษาแพทย์ และได้ปรึกษากันว่าจะดูผู้กระทำผิดจากกล้องวงจรปิด แต่ปรากฏว่าไม่มีภาพจากกล้องวงจรปิดให้ดู

หลังจากนั้น เรื่องนี้มีการติดต่อไปยังผู้รับผิดชอบ ตนเสนอว่าควรมีประกาศเตือนเป็นทางการจากทางคณะให้ทุกคนเฝ้าระวัง แต่กลับได้รับคำตอบว่า “ยังไม่ควรประกาศเตือน ควรเก็บเรื่องไว้เงียบๆก่อน เผื่อว่าจะสามารถจับคนร้ายได้” ตนจึงยอมรับและเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่ผ่านไป 3 สัปดาห์ก็ไม่มีความคืบหน้า อาจารย์จึงได้ไปตามเรื่องและได้รับการแจ้งว่า “ให้ผู้เสียหายไปแจ้งความดำเนินคดีเอง”

กระทั่งวันที่ 30 มี.ค. ที่ผ่านมา ตนเห็นว่าเรื่องเงียบและไม่มีประกาศเตือนใด ตนตัดสินใจพูดประกาศเตือนเพื่อนในกองกุมารเวชศาสตร์ และได้ไปแจ้งความกับอาจารย์อีกสองท่าน ตำรวจได้มาดูสถานที่เกิดเหตุ และสอบปากคำ

ล่าสุด ตนได้รับแจ้งว่ามีการจัด รปภ. เดินเวรให้ถี่ขึ้น สั่งแม่บ้านให้ตรวจสอบห้องน้ำให้ละเอียดขึ้น และกำลังติดต่อทำเรื่องกล้องวงจรปิดใหม่

ตนทราบเรื่องก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างสูงที่มีความพยายามแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ตนเห็นว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่มีการแจ้งเตือนคนหมู่มากให้ทราบเพื่อระวังตนเอง ซึ่งสาเหตุที่ไม่มีการเตือนเกิดขึ้น คือ “ไม่ควรออกประกาศเตือน เนื่องจากจะเกิดความแตกตื่น”

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ได้ตั้งคำถามทิ้งท้ายว่า “ผมจึงขอตั้งคำถามอีกครั้งว่า เรากำลังกลัวอะไรอยู่ เรากลัวผู้คนแตกตื่น มากกว่ากลัวผู้คนตกเป็นเหยื่อใช่หรือไม่ หรือเรากำลังกลัวสิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงนั้นเสียไป”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน