กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ขอเชิญชวนศาสนิกชนร่วมงานเฉลิมฉลอง “ดิวาลีเฟสติวัล กรุงเทพมหานคร” ประจำปี พ.ศ.2567 เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมไทยและอินเดีย

ชมการแสดงทางวัฒนธรรมสุดอลังการ แสง สี เสียงสไตล์บอลลีวู้ด ตลอดทั้งวัน ลิ้มลองหลากหลายเมนู คาว-หวาน จากภัตตาคารอินเดียสไตล์มหาราชาชื่อดังในประเทศไทย และสักการะ “พระพิฆเนศ” และ “พระแม่ลักษมี” เสริมดวงชะตา โชคลาภ เพิ่มความสำเร็จให้ชีวิต และช็อปสินค้าสไตล์อินเดียนจากร้านค้าชื่อดังทั้งส่าหรี เครื่องประดับ ของตกแต่งศิลปวัฒนธรรมอินเดีย

ชวนกันมาพากันมู(เตลู)

การจัดงาน “ดิวาลีเฟสติวัล กรุงเทพมหานคร” ประจำปี พ.ศ.2567 กรมการศาสนาร่วมกับสมาคมอินเดียแห่งประเทศไทย และองค์การทางศาสนา และภาครัฐอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28 ต.ค. ถึงวันที่ 3 พ.ย.2567 ณ ย่านลิตเติ้ลอินเดีย บริเวณถนนพาหุรัด คลองโอ่งอ่าง และสะพานเหล็ก กรุงเทพฯ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม พร้อมทั้งส่งเสริมเทศกาลทางศาสนาให้เป็นหมุดหมายสำคัญในระดับโลก ช่วยสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และเสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

ชวนกันมาพากันมู(เตลู)

สำหรับกิจกรรมในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ประกอบด้วย การสักการะองค์เทพของศาสนาฮินดู โดยทำพิธีอารตีขอพรต่อพระพิฆเนศและพระแม่ลักษมีของวัดเทพมณเฑียร รวมทั้ง องค์พระรามกับนางสีดาของวัดวิษณุ เสริมดวงชะตา โชคลาภ เพิ่มความสำเร็จให้ชีวิต การแสดงทางวัฒนธรรมสุดอลังการ แสง สี เสียงสไตล์บอลลีวู้ด ตลอดทั้งวัน การเยี่ยมชมศาสนสถานตามเส้นทางย่านพาหุรัด ซึ่งเป็นศูนย์รวมศรัทธาของคนในชุมชน เช่น คุรุดวารา (วัดซิกข์) และวัดเทพมณเฑียร การร่วมจุดประทีปแห่งศรัทธาตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดูในเทศกาลดิวาลี หรือเทศกาลแห่งแสงสว่าง ซึ่งยังเป็นการเฉลิมฉลองปีใหม่อีกด้วย และการจัดนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับเทศกาลดิวาลี ของศาสนาฮินดู และวันบันดิโชร์ ดิวัส ของศาสนาซิกข์

ชวนกันมาพากันมู(เตลู)

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมของหน่วยงานต่างๆ อาทิ การออกร้านอาหารอินเดียหลากหลายเมนู จากภัตตาคารอินเดียชื่อดังในประเทศไทย ซึ่งจะมีอาหารจานเด็ดอย่างซาโมซ่าและปานิปุริ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้ลิ้มลองรสชาติของวัฒนธรรมอินเดียอย่างเต็มที่ และช็อปสินค้าสไตล์อินเดียนจากร้านค้าชื่อดัง ทั้งส่าหรี เครื่องประดับ ของตกแต่งศิลปวัฒนธรรมอินเดีย เป็นต้น

“เทศกาลดิวาลี” เป็นประเพณีปีใหม่ของชาวฮินดูที่เก่าแก่ ซึ่งตรงกับวันอมาวัสยา หรือวันเดือนดับในเดือน 8 ตามระบบปฏิทินฮินดู จัดขึ้นเพื่อบูชาขอพรพระแม่ลักษมี เทวีแห่งโชคลาภ ทรัพย์สิน เงินทอง ชาวฮินดูจะบูชาองค์เทพด้วยแสงไฟจากตะเกียงประทีป โดยจุดให้สว่างตลอดวันตลอดคืน มีการสวดมนต์บูชาด้วยโศลกสรรเสริญต่างๆ รวมถึงการเอ่ยพระนาม 108 แห่งพระแม่ลักษมี เพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญและขอพรให้พระแม่ลักษมีประทานความสมบูรณ์แก่ชีวิตผู้สักการบูชา

ชวนกันมาพากันมู(เตลู)

รวมทั้ง ยังเป็นการเฉลิมฉลองตามตำนาน คัมภีร์รามายณะ ซึ่งมีตำนานว่าเมื่อพระรามสู้รบกับเหล่าอสูรจนมีชัยแล้ว ก็ได้เดินทางกลับมาสู่อาณาจักรอโยธยาในคืนเดือนมืด จึงมีการเฉลิมฉลองชัยชนะด้วยไฟกันทั่วทั้งอาณาจักรอโยธยา เพื่อนำทางทัพพระรามกลับสู่อาณาจักร

ในเทศกาลดิวาลี จะมีการบูชาพระแม่ลักษมีเป็นประธาน แต่เทพเจ้าองค์อื่นๆ ก็จะได้รับการสวดบูชาด้วยเช่นกัน มีการจุดตะเกียงดินเผา เทียน ประทีป ประดับประดาแท่นบูชาด้วยไฟกะพริบสีสันสวยงาม วางเป็นแนวยาวซ้ายขวา ให้เป็นถนนจากหน้าบ้านไปสู่หิ้งบูชาของพระแม่ลักษมีที่ตั้งอยู่ในบ้าน เมื่อเสร็จสิ้นการสวดมนต์บูชาพระแม่ลักษมี จะมีการจุดพลุ ประทัด หรือตีเกราะเคาะไม้ให้เสียงดัง เพื่อข่มอสูร ไล่สิ่งอัปมงคลออกไปจากบ้านเมืองให้เหลือแต่สิ่งที่เป็นมงคลตลอดไป

ด้วยเหตุนี้ เทศกาลดิวาลีจึงเป็นเทศกาลแห่งแสงสว่าง แสงไฟ และความรื่นเริงมีการจุดประทีปเป็นสัญลักษณ์การเฉลิมฉลองชัยชนะของคุณงามความดีที่มีต่อความชั่วร้าย และแสงสว่างที่อยู่เหนือความมืดมน ผู้คนนิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าใหม่ๆ รวมถึงการชำระปัดกวาดสถานที่ให้สะอาด เพื่อเตรียมรับสิ่งดีๆ ให้เข้ามาในบ้านเรือนหลังนั้นๆ

ชวนกันมาพากันมู(เตลู)

ในขณะที่ผู้ที่นับถือศาสนาซิกข์ ก็จะเฉลิมฉลองเทศกาลดิวาลีด้วยเหตุผลความเชื่อที่ต่างไป โดยจะเรียกว่าวัน “บันดิโชร์ ดิวัส” หรือวันปลดปล่อยเพื่ออิสรภาพและสิทธิอันเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นวันที่คุรุ ฮัร โควินท์ สาหิบ ศาสดาองค์ที่ 6 ของศาสนาซิกข์ ได้รับการปลดปล่อยจากการจองจำของจักรวรรดิโมกุล โดยศาสนิกชนชาวซิกข์จะมีการทำพิธีสวดอัรดาส และสวดกีรตันขอพรร่วมกันที่คุรุดวาราศาสนสถานในศาสนาซิกข์

น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้ มุ่งเน้นการส่งเสริมความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม เป็นการส่งเสริมให้ศาสนิกชนได้ปฏิบัติศาสนกิจตามศาสนา อันเป็นการสร้างความเข้มแข็งของสถาบันศาสนาให้เป็นเสาหลักที่จะสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณธรรม ศาสนิกชนทุกศาสนาอยู่ร่วมกันด้วยความรักสามัคคีสืบต่อไป รวมถึงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในมิติทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ก่อให้เกิดความศรัทธาและความเชื่อ ที่จะช่วยสร้างรายได้จากการขายสินค้าและบริการต่างๆ ส่งผลให้ประเทศไทยมีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในอนาคตสืบไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน