จังหวัดภูเก็ต เปรียบเสมือนห้องรับแขกของประเทศไทยก็ว่าได้ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในจังหวัดเป็น 10 ล้านคน มีเงินหมุนเวียนเข้าประเทศจากจังหวัดแห่งนี้หลายร้อยล้านบาท
เป็นจังหวัดที่สวยงาม มีทะเลล้อมรอบ ทั้งยังมีจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของประเทศไทยอย่างแหลมพรหมเทพ หากจะเล่นน้ำหรือสัมผัสบรรยากาศแบบชายทะเล ก็จะมีหาดกะตะ หาดกะรน หาดป่าตอง ให้มาพักผ่อน เรียกได้ว่าครบเครื่องเลยทีเดียว
นอกจากสถานที่เที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินและผ่อนคลายแล้ว ยังมีสถานที่เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ทั้งยังเป็นที่สักการะของชาวภูเก็ตอย่างวัดไชยธาราราม หรือวัดฉลอง อีกด้วย

หุ่นขี้ผึ้งหลวงพ่อแช่ม
ว่ากันว่า ใครที่มาถึงภูเก็ตแล้ว ควรได้เดินทางมานมัสการหลวงพ่อแช่มที่วัดฉลอง วัดคู่บ้านคู่เมืองภูเก็ต เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ทั้งยังมีความเชื่อว่าหากบนบานด้วยการจุดประทัดจะมีโชคในเรื่องการงาน และการเรียน
มีเรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ กิตติศัพท์ในการรักษาโรค บารมี และเมตตาธรรมที่สูงส่ง ทำให้มีผู้เลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก

ปิดทองรูปเหมือนหลวงพ่อแช่ม
พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุนี หรือ หลวงพ่อแช่ม พระเกจิชื่อดังแห่งวัดไชยธาราราม (วัดฉลอง) อ.เมือง จ.ภูเก็ต ที่ชาวเมืองภูเก็ตให้ความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง จนถึงขนาดมีคำขวัญประจำเมืองภูเก็ต ว่า “ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ หาดทรายสีทอง สองวีรสตรี บารมีหลวงพ่อแช่ม”
มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งพวกชาวเรือออกไปหาปลาในทะเลถูกคลื่นพายุกระหน่ำจนเรือจวนล่มต่างก็บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ให้คลื่นลมสงบ แต่คลื่นลมกลับรุนแรงขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งนึกถึงหลวงพ่อแช่มได้ ก็บนหลวงพ่อแช่มว่า “ขอให้หลวงพ่อแช่มบันดาลให้คลื่นลมสงบเถิด รอดตายกลับถึงบ้านจะติดทองที่ตัวหลวงพ่อแช่ม”
เป็นที่น่าอัศจรรย์ที่คลื่นลมสงบโดยพลัน ครั้นกลับถึงบ้าน ชาวเรือกลุ่มนั้น เตรียมทองคำเปลวไปหาหลวงพ่อแช่มเล่าให้หลวงพ่อแช่มทราบและขอปิดทองที่ตัวท่าน
หลวงพ่อแช่มบอกว่าท่านยังมีชีวิตอยู่จะปิดทองยังไง ให้ไปปิดทองที่พระพุทธรูป
ชาวบ้านกลุ่มนั้น บอกว่าถ้าหากหลวงพ่อไม่ให้ปิด จะทำให้เกิดอาเพศอีก ในที่สุดก็จำต้องยอมให้ชาวบ้านปิดทองที่ตัว โดยให้ปิดที่แขนและเท้า ชาวบ้านอื่นๆ ก็บนตามอย่างด้วยเป็นอันมาก จนถือเป็นธรรมเนียม
นับเป็นพระภิกษุรูปแรกของเมืองไทยที่ได้รับการปิดทองแก้บน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

พระมหาธาตุเจดีย์-วัดฉลอง
แม้ละสังขารไปแล้ว แต่ความเลื่อมใสศรัทธายังคงมีอยู่อย่างมั่นคงในจิตใจของชาวเมืองภูเก็ตสืบไป
ลองเดินเข้าไปในวัดฉลอง สมกับที่มีคำกล่าวว่า การเที่ยวชมวัด นอกจากจะได้รับความเบิกบานใจ ได้เห็นความงดงามของสิ่งปลูกสร้างและบรรยากาศของความเงียบสงบ อันเป็นศาสนปฏิบัติของชาวพุทธทั่วไปแล้ว ยังได้ความสุขสงบให้เกิดในจิตใจ
ภายในวัดฉลองมีอุโบสถที่ประดิษฐานรูปปั้นหลวงพ่อ 3 ท่าน คือ หลวงพ่อแช่ม, หลวงพ่อช่วง, หลวงพ่อเกลื้อม เป็นพระคู่วัดฉลองไว้ให้ประชาชนมาสักการะขอพรจากหลวงพ่อทั้ง 3 ท่าน
อีกทั้งที่วัดฉลองยังเป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุเจดีย์พระจอมไทยบารมีประกาศ ที่เป็นประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ซึ่งอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยในทุกปีจะมีงานประจำปีที่จะจัดขึ้นในช่วงวันตรุษจีนเป็นเวลา 7 วัน 7 คืนอีกด้วย
หากเดินชมวัดจนเมื่อย แวะนั่งพักสัก 5-10 นาที พอหายเหนื่อย จากนั้นเดินไปชมกุฏิจำลองพ่อท่านสมเด็จเจ้า ภายในจะประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนของหลวงพ่อทั้ง 3 ท่าน เป็นรูปหุ่นขี้ผึ้งที่สวยงามมาก และตัวกุฏิยังเป็นแบบทรงไทย ซึ่งเป็นเรือนไทยที่สวยงามมาก

ที่จุดประทัดเพื่อแก้บนหลวงพ่อแช่ม
นอกจากนี้ เมื่อท่านได้เข้าไปในบริเวณวัดสิ่งหนึ่งที่ท่านจะได้ยิน คือ เสียงประทัด ด้วยเมื่อมีผู้คนที่ทุกข์ร้อนมาขอให้ช่วย และเมื่อได้สมความปรารถนาตามที่ได้ขอ โดยมากจะแก้บนด้วยการจุดประทัดถวาย
ถัดจากกุฏิเรือนไทยประมาณ 200 เมตร จะมีอุโบสถหลังเล็กภายในเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของพระประธาน และมีรูปปั้นอีก 2 ตัวขนาบข้าง คือ ท้าวนนทรี เป็นรูปปั้นยักษ์ยืนอยู่ทางเบื้องซ้าย ส่วนทางด้านขวามีรูปปั้นตาแก่นั่งสูบบุหรี่ เรียกว่า ตาขี้เหล็ก เล่ากันว่าตอนที่สร้างโบสถ์เสร็จ มีปูนเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ช่างนึกสนุกจึงนำปูนมาปั้นเป็นรูปตาแก่ ประชาชนนิยมบนตาขี้เหล็กด้วยหมากพลูและบุหรี่มาจนทุกวันนี้
กุฏิจำลองหลวงพ่อแช่ม
สำหรับการเดินทางไปวัดฉลอง หากไปโดยรถยนต์ส่วนตัว วัดฉลอง หรือวัดไชยธาราราม อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 8 กิโลเมตร ออกจากตัวเมืองไปตามทางหลวง หมายเลข 4021 ผ่านสามแยกบริเวณสนามกีฬาสุรกุล เลี้ยวซ้ายไปทางห้าแยกฉลอง วัดฉลองจะอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงห้าแยกฉลองประมาณ 4 กิโลเมตร