คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
มาตรการอัดฉีดเงินให้กับคนจนผู้มีรายได้น้อย รวมไปถึงการอนุมัติเงินช่วยเหลือเกษตรกร ด้วยวงเงินงบประมาณมหาศาล ไปจนถึงมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล เพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น
ด้านหนึ่ง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่ได้มีผลในระยะยาว
หรือโจมตีกันว่า แก้ไม่ถูกทาง เพราะเคยมีบางรัฐบาลใช้มาตรการแจกแหลกแบบนี้มาแล้ว แต่ไม่ได้ผล
จนทำให้ฝ่ายทีมโฆษกรัฐบาลก็ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาอย่างอลหม่าน ทำนองว่า นี่ไม่ใช่ประชานิยมอย่างแน่นอน อะไรเหล่านี้เป็นต้น
อีกด้านหนึ่ง การงัดมาตรการเช่นนี้ออกมาใช้ในห้วงนี้
บ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของประเทศเต็มไปด้วยความฝืดเคืองขนาดหนัก!
ไม่เพียงสะท้อนผ่านปฏิบัติการอัดเม็ดเงินของรัฐบาล ดังกล่าวนี้เท่านั้น
การซวนเซของธุรกิจขนาดใหญ่หลายวงการ เป็นข้อเท็จจริงที่ฟ้องสภาพปัญหาเศรษฐกิจของไทยเราอย่างชัดเจน
จำนวนคนที่เคยมีงานทำ แต่กลายเป็นคนว่างงาน หรือต้องดิ้นรนหางานใหม่กัน เกิดขึ้นมากมาย
ล่าสุดการขายหุ้นของสื่อรายใหญ่ ที่เป็นทั้งเจ้าของทีวีดิจิทัล เจ้าของนิตยสารดัง แล้วต้องประสบภาวะแบกรับหนี้สินที่สะสมจนทรุดหนักในช่วง 2-3 ปีต่อไปไม่ไหว
ต้องให้เจ้าสัวธุรกิจน้ำเมาเข้ามาถือหุ้นใหญ่
เป็นอีกกรณีที่สะท้อนความเป็นจริงของเศรษฐกิจการค้าในบ้านเรา
คำถามก็คือ ต้นตอของปัญหาการเงินการค้าฝืดเคืองในห้วง 2-3 ปีมานี้เกิดจากอะไร!?!
ด้านหนึ่งอาจมีผลจากเศรษฐกิจโลกที่กระทบถึงเราแน่ นอน
แต่อีกด้านที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือการเมืองในบ้านเราเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญที่รุนแรงยิ่ง
ตลอด 2-3 ปีมานี้ เกิดความขัดแย้งรุนแรง เกิดสงครามแย่งชิงอำนาจการเมือง
แน่นอนว่า ทุกฝ่ายทุกขั้ว มีส่วนผิดพลาดพอกัน แต่สำคัญสุดคือ มีบางฝ่ายไม่ยอมรับการเปลี่ยน แปลงหรือการต่อสู้ให้ได้อำนาจการเมือง ด้วยการเดินตามกติกาที่มีอยู่!
นั่นคือ ไม่ยอมใช้ระบบเลือกตั้ง และไม่ยอมให้ประชาธิปไตยเดินต่อไปข้างหน้า
การอ้างว่าประชาธิปไตยไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องหยุดปรับปรุง เราต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
นี่หรือไม่ ที่ทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ห้วงแห่งการถอยหลังย้อนยุคและถูกสังคมโลกปฏิเสธ
แล้วกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าอย่างรุนแรง กระเทือนหมดทุกฝ่าย ฝืดเคืองไปทุกขั้ว
แม้แต่ขั้วที่เรียกหาการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง วันนี้เจอวิกฤตอย่างหนักจนแบกรับไม่ไหวนั่นไง!