คอลัมน์ ชกไม่มีมุม

วงค์ ตาวัน

มีข้อโต้แย้งจากผู้นำรัฐบาลและแกนนำคสช. ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการนำแนวนโยบาย 66/2523 ที่เคยใช้ดับไฟสงครามคอมมิวนิสต์ได้สำเร็จในยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วล่าสุดคณะกรรมาธิการของสปท. เสนอให้นำมาปรับใช้กับการสร้างความปรองดองที่กำลังเดินเครื่องกันอย่างจ้าละหวั่นกันในวันนี้

แสดงว่า โอกาสของ 66/2523 สำหรับปี 2560 นี้ คงไม่ราบรื่น

เสียงที่ไม่เห็นด้วย มองว่า ที่ป๋าเปรมทำสำเร็จนั้น เป็นสถานการณ์การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นสงคราม มีการจับอาวุธสู้รบกัน

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับวันนี้ เป็นคนละสถานการณ์ วันนี้ไม่ใช่เรื่องการแบ่งแยกกันด้วยลัทธิ

ที่กำลังจะทำในวันนี้คือการปรองดอง เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ

จะไม่มีการยกโทษยกความผิดให้ทั้งหมดแบบที่เคยทำกับผู้เข้าร่วมพัฒนาชาติไทยในอดีต!?

ถ้ามองในมุมเดียวกับผู้นำรัฐบาลและคสช. ก็ต้องถือว่า เป็นคนละสถานการณ์กันจริงๆ

แต่นั่นเป็นการมองเฉพาะรูปแบบของความขัดแย้ง คือ ในอดีตเป็นสงครามสู้รบ มองเฉพาะตัวลัทธิอุดมการณ์ คือ แนวทางคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม ซึ่งเป็นปัญหาในยุคนั้น

ทั้งที่ ถ้ามองเข้าไปถึงหัวใจของคำสั่ง 66/2523 ที่ป๋าเปรมเซ็นออกมาใช้เมื่อกว่า 30 ปีก่อนนั้น คือ การยอมรับว่า ความขัดแย้งแตกแยก ที่นำไปสู่การจับปืนสู้รบเข่นฆ่ากันนั้น

เกิดจากความคิดอุดมการณ์ โดยผู้ขัดแย้ง ผู้ที่จับปืนต่อสู้ ล้วนคนไทยด้วยกัน

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นถึงเข่นฆ่ากัน บุกยึดสถานที่ราชการ ชิงทรัพย์สินราชการ เช่น ปืน

ไม่ถือว่าเป็นคดีอาญา ไม่ใช่เรื่องอาชญากรรม!!

แต่เป็นเรื่องการเมืองและความคิด ดังนั้นต้องแก้ด้วยการเมือง ไม่ใช่แก้ด้วยการทหาร ไม่ได้แก้ด้วยการใช้กฎหมายอาญา

นี่คือหัวใจของคำสั่ง 66/23

ถ้ามองเฉพาะรูปแบบความขัดแย้ง รูปแบบการต่อสู้ ย่อมไม่เหมือนกัน

แต่ถ้ายึดหัวใจของวิธีการแก้ ก็น่าจะนำมาใช้ได้สำหรับปีพ.ศ.นี้ แม้จะคนละรูปแบบปัญหา สถานการณ์ต่างกัน

เพราะหัวใจคือ การยอมรับว่าความรุนแรงทั้งหมด

คือ ปัญหาความคิดและการเมือง

ไม่ใช่เรื่องกระทำผิดแบบอาชญากรตามกฎหมายอาญา

หัวใจคือ การให้อภัยอย่างเสมอภาคและให้เกียรติกัน

ที่สำคัญขนาดรบเป็นสงครามใหญ่ ยังสงบลงอย่างได้ผลเห็นๆ มาแล้วไง!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน