สัปดาห์ที่แล้ว ทีมตำรวจไทย นำโดยพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผบ.ตร. ในฐานะผอ.ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT พร้อมทีมสืบสวนสอบสวนของตำรวจไทย เดินทางไปกัมพูชา พบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา
เพื่อเปิดยุทธการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ลักลอบใช้พื้นที่ฝั่งกัมพูชา เป็นรังใหญ่ของแก๊งอาชญากรออนไลน์
โดยคณะของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ได้รับมอบหมายจากพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลฯ ซึ่งได้รับการร้องเรียนจากประชาชนจำนวนมาก ถึงภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเหล่านี้
ผลการบุกไปกัมพูชาของทีมพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ซึ่งถือหมายจับไปถึง 71 หมาย จับได้ทันที 21 ราย
พบว่าเปิดออฟฟิศอยู่ในอาคารต่างๆ โดยมีคนจีนเป็น ผู้ควบคุมการทำงาน คาดว่ามีทุนมาจากแก๊งอาชญากรในจีนนั่นเอง
พฤติกรรมก็ตามสูตรแอบอ้างสารพัด เพื่อหลอกลวงให้โอนเงิน หลอกลวงให้หลงรัก!
ได้แก่ หลอกลวงให้ลงทุนต่างๆ ลงทุนซื้อเหรียญดิจิตอล หลอกเล่นเกมออนไลน์
แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตํารวจ และ DSI ใช้วิดีโอคอล แต่งตัวเหมือน มีเสียงประกอบเสียงเคาะประตูเรียกท่านผู้กำกับ เสียง ว. เพื่อข่มขู่เหยื่อให้โอนเงิน
มูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท
ข่าวนี้ ทำให้ตำรวจได้รับเสียงชื่นชมไม่น้อย เพราะชาวบ้านสุดทนกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การโทรศัพท์เข้ามาในมือถือ แอบอ้างต่างๆ นานา มากันหลายรูปแบบ พลิกแพลงไปเรื่อย
ถ้าหลงเชื่อก็หมดเนื้อหมดตัว หรือถ้าไม่เชื่อ ก็จะรู้สึกรำคาญ!!
แถมทำให้มีปัญหากับเบอร์โทรศัพท์ใหม่ๆ ไม่อยากรับ ไม่กล้ารับ ทั้งที่บางทีก็เป็นเรื่องธุรกิจการงานปกติ
เพียงแต่ผู้ติดต่อใช้เบอร์ที่ไม่คุ้น ทำให้เสียโอกาสเสียหายทางธุรกิจการงานไป
รวมไปถึงการส่งข้อความผ่านเอสเอ็มเอส ด้วยลีลาอันแนบเนียน การสอดแทรกเข้ามาในระบบออนไลน์อีกหลากหลายวิธีการ
ดังนั้นการบุกไปถึงแหล่งต้นตอ กวาดล้างแก๊งเหล่านี้ จึงเป็นที่พอใจของชาวบ้านอย่างมาก!
อีกทั้งการที่คณะรองผบ.ตร.เดินทางไปเจรจากับระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชา เป็นการเปิดทางให้เจ้าหน้าที่ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันทำงานได้ต่อไป
ยังจะต้องกวาดล้างอีกหลายแก๊ง
รวมทั้งเรายังจะต้องเจอกับรูปแบบใหม่ๆ ที่จะต้องตามกันให้ทัน
ดังนั้นสำหรับตำรวจ ต้องเร่งสืบจับต่อไปอย่างถึงที่สุด
พร้อมๆ กับต้องเร่งให้ข้อมูลชาวบ้าน ถึง ลีลาใหม่ๆ ของวายร้ายโลกยุคใหม่ !
