เมื่อจีนเปิดประเทศ เปิดให้ประชาชนออกเดินทางท่องเที่ยวแบบกรุ๊ปทัวร์ได้ และหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางคือไทยเรา ดังนั้นตอนนี้บรรยากาศการท่องเที่ยวของเรา เริ่มกลับมาคึกคักขนานใหญ่ ด้วยกรุ๊ปทัวร์จากจีนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาแล้ว
ช่างพอดิบพอดี ที่เพิ่งผ่านพ้นเรื่องเสียหายกระทบการท่องเที่ยวไปหมาดๆ ไม่ว่าจะเป็นคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มจีนสีเทา คดีนักท่องเที่ยวจีนซื้อบริการรถนำตำรวจ และล่าสุดคดีด่านตำรวจรีดไถดาราสาวไต้หวัน
เพิ่งสะสางไปพอดี และมีการสรุปมาตรการป้องกันอย่างเข้มข้นจากผบ.ตร.ออกมาพอดี!
เมื่อเพิ่งเกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรง แล้วมีการออกกฎเหล็กออกมาควบคุมป้องกัน ไม่ให้ตำรวจทำเรื่องเสียหายอีก
ได้แต่หวังว่า จังหวะที่กรุ๊ปทัวร์จีนกลับมาพอดี มาตรการเข้มของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ จะป้องกันไม่ให้ทำอื้อฉาวกันอีก
โดยเฉพาะ 11 แนวทางจากบิ๊กเด่น ควบคุมการตั้งด่านตรวจของตำรวจ ซึ่งดูแล้วก็น่าจะรัดกุม ไม่ให้ตำรวจรายไหนออกนอกลู่นอกทางได้!!
นับจากนี้ ด่านตรวจของตำรวจ มีโอกาสมากที่จะเจอกับนักท่องเที่ยวจีนในยามค่ำคืน
ประการแรกสุด ไม่ว่าจะเป็นด่านป้องกันอาชญากรรม หรือด่านจราจรตรวจเมาแล้วขับ ไม่ใช่จู่ๆ จะตั้งก็ตั้งได้
จะต้องเป็นจุดที่มีสถิติโจรผู้ร้ายมากมาย จึงตั้งด่านป้องกันอาชญากรรมได้ ต้องมีสถิติรถชนมากมาย จึงมีด่านตรวจเมาได้!
อีกทั้งต้องมีนายตำรวจระดับผู้การขึ้นไปอนุมัติให้ตั้งด่านได้
เหล่านี้คำสั่งของผบ.ตร.กำหนดไว้ชัด
ที่สำคัญอีกอย่างต้องมีกล้องติดตัวตำรวจขณะทำหน้าที่ในด่าน หรือมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพ
ต้องบันทึกทั้งภาพและเสียง และเก็บเข้าระบบให้ตรวจสอบย้อนหลังได้อย่างน้อย 20 วัน
กล้องบันทึกจะตรวจสอบตำรวจไม่ให้ทำผิด พร้อมๆ กับป้องกันตำรวจหากเจอพวกอภิสิทธิ์ชนกร่างใส่ หรือพยายามให้สินบน!!
เอาเป็นว่า มาตรการดีน่าจะควบคุมการปฏิบัติให้ดีได้
ถึงอย่างไร ตำรวจต้องตรวจตราป้องกันอาชญากรรม และการทำผิดกฎหมาย
นักท่องเที่ยวที่เริ่มเที่ยวไทย ต้องปลอดภัย และหากนักท่องเที่ยวทำผิดกฎหมายก็ต้องโดนดำเนินคดี
แต่ไม่ใช่การตรวจนักท่องเที่ยวเพื่อหาเรื่อง หรือเพื่อเจรจาเรียกรับผลประโยชน์
โรงพักในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว มากด้วยสถานบันเทิง ที่มากด้วยนักท่องเที่ยวจีน
จะต้องยึดในหลักกฎเหล็กของผบ.ตร.ให้แม่นยำ
อย่าลืมว่าในคำสั่งผบ.ตร.นั้นเอาผิดถึงหัวหน้าโรงพักและอาจถึงผู้บังคับบัญชาระดับสูงด้วย!
วงค์ ตาวัน