โดยปกติการประกาศยุบสภา จะต้องมีเหตุผลทำนองว่า เกิดวิกฤตทางการเมือง มีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ หรือมีความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลกันเอง จนจำเป็นต้องใช้การยุบสภา เพื่อหาทางออกอะไรทำนองนี้
แต่ในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทน พ.ศ.2566 ในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ประกาศเมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมานั้น
ได้ให้เหตุผลว่า ได้ปิดสมัยประชุมสามัญ ในปีสุดท้ายของอายุสภาผู้แทนราษฎร จึงสมควรยุบสภาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่เป็นการทั่วไป อันเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชน
เหตุผลมีเพียงเท่านี้ ด้วยเพราะไม่ได้มีเหตุขัดแย้งอะไรในทางการเมือง จนทำให้สภามาถึงทางตัน
แต่เพราะรัฐบาลต้องการดึงเวลาเพื่อให้อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุด ยืดมาจนเหลืออีกแค่ 3 วันก่อนสิ้นสุดอายุสภาชุดนี้ จึงยอมยุบสภา
ที่ยุบก็เพื่อเปิดช่องให้ผู้จะลงสมัครรับเลือกตั้งมีเวลาเข้าสังกัดพรรคลดเหลือ 30 วัน แทนที่จะเป็น 90 วัน ซึ่งเป็นประโยชน์ของพรรครัฐบาลเอง!
เอาเป็นว่า วันนี้การยุบสภามีผลเรียบร้อยแล้ว
ยังมีเวลาเหลือให้ผู้เตรียมลงเลือกตั้ง ยังย้ายพรรคได้อีกในช่วง 1 เดือน
ที่ประชาชนต้องเตรียมตัวกันต่อไปคือ พร้อมเดินเข้าคูหาในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม
ไปจนถึงรอวันเปิดรับสมัครผู้ลงเลือกตั้งส.ส.แบบเขตและแบบบัญชีรายชื่อ พร้อมกับการจับเบอร์ เพื่อให้รู้ว่าจะกาเบอร์ไหน
รวมไปถึงการประกาศ ผู้เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของแต่ละพรรคอย่างชัดเจน!
จะว่าไปแล้ว การยุบสภาเกือบจะมาเร็วกว่านี้ ตามแนวคิดของแกนนำรัฐบาลเอง คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ได้เคยเสนอวันยุบสภาเอาไว้ตั้งแต่ปลายปี 2565
วางเอาไว้ว่า หลังเสร็จการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ หวังเป็นอย่างยิ่งจะได้หน้าตา ได้กระทบไหล่ผู้นำโลก
ได้ผลงานชิ้นใหญ่โตแล้วก็ควรยุบสภา เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชน!
แต่ตอนนั้นพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่มีแนวคิดจะย้ายไปพรรคใหม่ ยังคงอยู่พลังประชารัฐกับบิ๊กป้อม
จนเมื่อตัดสินใจว่าไม่อยู่ต่อ ขอไปรวมไทยสร้างชาติ คราวนี้ก็เลยต้องยื้อเวลายุบสภาออกไป
เพื่อจะอาศัยการเป็นรัฐบาลมีอำนาจยาวนาน จะได้อนุมัติโครงการต่างๆ แบบเทกระจาด เก็บกวาดคะแนนนิยม
ดึงเวลามาจนเหลือแค่อีก 3 วันจะสิ้นสุดอายุสภาผู้แทนแล้วจึงยุบสภา
ไม่รู้ว่าได้ผลแค่ไหน ได้ใช้อำนาจความเป็นรัฐบาลสร้างความนิยมได้มากเพียงใด
แต่ที่แน่ๆ คือเสียเวลา-ยื้อเวลาในการคืนอำนาจให้กับประชาชนนั่นเอง!!
วงค์ ตาวัน