เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน

ดราม่ายางพาราเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเกือบจะกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ถ้าไม่รีบดับเสียก่อน จึงร้อนถึง “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องเปิดทำเนียบประชุมบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และได้หยิบประเด็นนี้ขึ้นมาถามในที่ประชุมเพื่อดับไฟตั้งแต่ ต้นลม

เรื่องนี้เริ่มจากกรณีที่ วีระศักดิ์ สินธุวงศ์ ประชาสัมพันธ์สภาเครือข่ายและสถาบันเกษตรกรยางพาราแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าแกนนำชาวสวนยาง 20 จังหวัดภาคอีสานรณรงค์ผ่านโซเชี่ยลมีเดียให้สมาชิกคว่ำบาตร ไม่ขายยางให้กับ 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ เนื่องจากไม่พอใจที่มีผู้แทนจากบริษัท ศรีตรัง อโกร อินดัสตรี ออกมากล่าวว่าบริษัทศรีตรังฯ บ.มิชลิน และ บ.บริดจสโตน จะไม่ใช้ยางพาราและไม่รับซื้อ “ยางก้อนถ้วย” ที่ปลูกในภาคอีสานเนื่องจากใช้กรดกำมะถัน “ซัลฟิวริก” เป็นส่วนผสม ทำให้ผลิตยางรถยนต์ไม่ได้คุณภาพ อายุการใช้งานสั้นลง

ทันทีที่มีกระแสนี้ออกมาผู้ผลิตยางทั้งมิชลินและบริดจสโตน ออกมาปฏิเสธข่าวทันทีว่าไม่เคยมีนโยบายตามที่เป็นข่าวเช่นเดียวกับผู้แทนจากศรีตรังฯก็ชี้แจงว่าข่าวนี้คลาดเคลื่อน

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากไม่รีบหาทางออกจะกระทบกับการส่งออกยางพาราซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 2.7% ของจีดีพีและเป็นอันดับ 1 ของสินค้าส่งออกทั้งหมด ฉะนั้นไม่ใช่เฉพาะ “บิ๊กตู่” เท่านั้นที่ร้อนใจ ใน “สนช.” เองก็ร้อนใจต้องเร่งประชุมหาทางออกเป็นการด่วน แต่ต้องยอมรับว่าชาวสวนยางในอีสานส่วนใหญ่ใช้ “กรดซัลฟิวริก” เป็นส่วนผสม ในยางถ้วยจริงเพื่อให้น้ำยางเซ็ตตัวได้เร็วขึ้น ที่สำคัญราคา ถูกกว่า 15 ส.ต.ต่อก.ก.เท่านั้น ขณะที่กรดฟอร์มิกซ์ราคา 37 ส.ต.ต่อก.ก.

ตรงนี้ หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องเร่งหาทางช่วยเหลือ แม้ว่า กรดซัลฟิวริก จะราคาถูกทำให้ต้นทุนต่ำกว่า แต่ก็มีปัญหาต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตามยุทธวิธีเอาเรื่องจริงมาพูดเล่น จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ก็ส่งผลให้ราคายางโดนทุบร่วงทันที 2 บาทต่อกิโลฯ งานนี้ไม่ได้เดือดร้อนเฉพาะชาวสวนยางภาคอีสานเท่านั้นแต่เดือดร้อนทั่วประเทศ คนในวงการวิเคราะห์ว่า เบื้องหลังการถ่ายทำเป็นความขัดแย้งในกลุ่ม 5 เสือผู้รับซื้อรายใหญ่ทำให้ต้องมีรายการทุบราคายางเป็นการดัดหลัง

ช้างสารชนกันหญ้าแพรกก็แหลกลาญด้วยประการฉะนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน