เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน

ผลพวงจากกรณีที่รัฐบาลเอาจริงเอาจังในการปราบปราม “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” เริ่มมีเสียงร้องจากคนในวงการบ้างแล้ว จากการประเมินของ “สมชาย ชมระกา” อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว “แอตต้า” เผยว่า ตั้งแต่เมื่อวันที่ 12-30 ก.ย.นี้ คาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะลดลง 1.6 หมื่นคน ยอดจองห้องพักลดลง 50% และจะมีเที่ยวบินลดลง 20-30%

ขณะที่ภาครัฐยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าจะให้เอกชนทำทัวร์อย่างไร จึงคาดว่าภายในเดือนต.ค.จะมีนักท่องเที่ยวจีนหายไป 2 แสนคน สูญเสียรายได้ 4,320 ล้านบาท

ด้าน “อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์” เลขาธิการแอตต้าเปิดเผยว่า หลังจากการปราบปรามทำให้ “แพ็กเกจทัวร์จีน” ปรับตัว สูงขึ้น 5 เท่า

ธรรมดา “หยิกเล็บย่อมเจ็บเนื้อ” ไม่เฉพาะรายได้ในธุรกิจทัวร์เท่านั้นที่กระทบ อย่าลืมว่าธุรกิจท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์ตัวเดียวที่ปั้นรายได้เข้าประเทศ และต้องไม่ลืมว่าทัวร์จีนเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวในประเทศไทยแต่ละปีกว่า 30 ล้านคน

ฉะนั้น ย่อมกระทบกับรายได้เข้าประเทศอย่างมิอาจ ปฏิเสธได้

แต่นั่นต้องไม่ลืมว่า รายได้เข้าประเทศนั้นอาจเป็น “แค่ตัวเลขสวยหรู” แต่เม็ดเงินจริงๆ ส่วนใหญ่จะตกอยู่กับ “นอมินีจีน” ส่วนธุรกิจไทยทัวร์คนไทยได้รับแค่เศษๆ ของเม็ดเงินเท่านั้น จะว่าไปแล้ว หาก “ทัวร์ศูนย์เหรียญกินแค่ค่าคอมมิชชั่น” จากของที่ระลึก จิวเวลลี่ เหมือนยุคแรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่หลังๆ นักธุรกิจจีนเล็งเห็นเม็ดเงินใน “วงจรธุรกิจ” นี้มีจำนวนมหาศาลจึงหวัง “กินรวบ” ไม่ยอมให้กระเด็น ตั้งแต่ไกด์ก็ใช้ไกด์จีน ต่อมาก็ซื้อรถทัวร์เอง มาเปิดร้านอาหาร มาเช่าออฟฟิศ มาเทกโอเวอร์ร้านขายของที่ระลึก จิวเวลลี่ กินตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ธุรกิจเหล่านี้ฉากหน้าเป็นคนไทย แต่เบื้องหลังชักใยโดย นักธุรกิจจีน

ทัวร์ศูนย์เหรียญหากกินแค่ “ค่าคอมมิชชั่น” ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ต่อมาถึงขั้น “นอมินีธุรกิจ” และ “ฟอกเงิน” เพื่อจะขนเงินกลับประเทศโดยตั้งบริษัททัวร์แบบเอาต์บาวด์ส่งนักท่องเที่ยวออกนอกบังหน้า นั่นแปลว่ารายได้ธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ใช่แค่ธุรกิจท่องเที่ยว แต่เม็ดเงินทั้งหมดมาจากการเข้ามาทำ “ธุรกิจการค้า” ในไทย จึงไม่ได้ทำลาย “ธุรกิจท่องเที่ยวไทยเท่านั้น แต่ยังทำลายธุรกิจรวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย”

ปฏิบัติการสะสางครั้งนี้จึงมาถูกทาง…แม้จะเจ็บก็ต้องยอม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน