คอลัมน์ วงล้อเศรษฐกิจ

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (อีไอซี)

เมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2017 ผู้ค้าท่อเหล็กและเหล็กรูปพรรณ รายหนึ่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ออกมาเปิดเผยว่าไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ หุ้นกู้ และตั๋วแลกเงิน (B/E) ได้ตามกำหนด

ทั้งนี้ แม้ว่าบริษัทได้เสนอแผนปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้กับเจ้าหนี้ ในวันที่ 24 ม.ค. 2017 แล้ว แต่การผิดนัดชำระหนี้ ดังกล่าวเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลว่าเหตุการณ์จะลุกลามไปยัง ผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมด้วยหรือไม่

การขาดสภาพคล่องและการก่อหนี้ในระดับสูงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการผิดชำระหนี้ การชะลอตัวของภาคการก่อสร้างในช่วงที่ผ่านมาเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้ค้าเหล็กรายดังกล่าวต้องเผชิญกับปัญหาการขาดสภาพคล่อง

ซึ่งสะท้อนจากวงจรเงินสดที่ยาวถึง 340 วัน โดยเฉพาะระยะเวลาเก็บหนี้เฉลี่ยที่สูงถึง 300 วัน ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2016 ประกอบกับการเลือกใช้แหล่งเงินทุนจากการก่อหนี้ในระดับสูง (D/E Ratio 2.5 เท่า) และความล้มเหลวในการเพิ่มทุน จึงทำให้บริษัทไม่สามารถชำระหนี้ที่ก่อขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าเหล็กในภาพรวมของอุตสาหกรรมยังคงมีสภาพคล่องที่ดี ขณะที่ระดับของการก่อหนี้ก็ยังไม่อยู่ในระดับที่สูงมากนัก เมื่อพิจารณาผู้ค้าเหล็กจำนวนหนึ่งที่ดำเนินธุรกิจคล้ายกับบริษัทดังกล่าว พบว่ามีวงจรเงินสดโดยเฉลี่ยเพียง 75-120 วัน เท่านั้น

ขณะที่การก่อหนี้ก็อยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก (D/E Ratio เฉลี่ย 1.3 เท่า) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้เป็นปัญหาเฉพาะรายบริษัทเท่านั้น และยังไม่มีสัญญาณที่จะลุกลามไปยังผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมแต่อย่างใด

แนะผู้ค้าเหล็กควรให้ความสำคัญในการบริหารสภาพคล่องและควรก่อหนี้ในระดับที่เหมาะสม ผู้ค้าเหล็กควรบริหารสภาพคล่องด้วยวิธีการ ดังนี้ 1.ควบคุมสต๊อกสินค้าไม่ให้สูงจนเกินไป ด้วยการลดปริมาณการนำเข้าสินค้าที่ยังไม่ได้รับคำสั่งซื้อ

และ 2.ติดตามการเก็บเงินจากลูกหนี้ให้ตรงตามระยะเวลา โดยอาจให้ส่วนลดเงินสด เพื่อให้ระยะเวลาการจัดเก็บหนี้ สั้นลง วิธีการดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องที่ดีขึ้นจากการมีวงจรเงินสดที่สั้นลง ในส่วนของระดับการก่อหนี้นั้น บริษัทควรประเมินศักยภาพในการก่อหนี้ของตนเอง ผ่านการเปรียบเทียบกับผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมหรือค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม เพื่อตรวจสอบว่าระดับการก่อหนี้ของตนนั้นอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน