ปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่กำลังปะทุอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศคู่พิพาทที่สู้รบกันเท่านั้น ทว่าผลจากภัยสงคราม มาตรการ คว่ำบาตร และการตอบโต้ต่างๆ ระหว่างกันที่เกิดขึ้นทำให้ ผลกระทบได้ลุกลามไปถึงภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จำเป็น ต้องใช้วัตถุดิบหรือชิ้นส่วนจากทั้ง 2 ประเทศนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งอุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก โดยภาวะสงครามที่ยังคงยืดเยื้อไม่รู้จุดจบกำลังส่งผลกระทบในวงกว้างออกไปสู่อุตสาหกรรมรถยนต์ ทั่วโลก

จากสาเหตุหลัก 2 ประการ คือ 1.ปัญหาการขาดแคลน ชิ้นส่วนผลิตรถยนต์ทั่วโลกที่จะกลับมาทวีความรุนแรงขึ้นอีก ซึ่งนอกเหนือจากการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในยูเครนและรัสเซียไม่สามารถผลิตและส่งมอบได้จนทำให้ค่ายรถในยุโรปต้องระงับ การผลิตลงทันทีในหลายประเทศแล้ว

ยังมีวัตถุดิบอีกหลายตัวสำหรับการผลิตชิพอิเล็กทรอนิกส์และแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่สามารถออกมาจากแหล่งผลิตหลักในยูเครนและรัสเซียได้ จึงยิ่งกดดันให้ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิตที่มีอยู่แล้วทวีความรุนแรงขึ้น

และ 2.ปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยหลังจากที่รัสเซียโดนมาตรการคว่ำบาตร และได้มีการตอบโต้ด้วยการงดการส่งออกสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ต่างๆ รวมถึงสินค้าเกษตรอีกหลายรายการ ซึ่งรัสเซียเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกหลักของโลก

ส่งผลให้หลายประเทศทั่วโลกเกิดปัญหาเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต่างมีกำลังซื้อลดลง รถยนต์ซึ่งอยู่ในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ราคาสูงจึงมีโอกาสเป็นสินค้ากลุ่มแรกๆ ที่จะได้รับผลกระทบ

อย่างไรก็ตาม แม้ชิ้นส่วนที่ใช้ในไทยจะมาจากคนละแหล่งกับฐานผลิตในยุโรป และค่ายรถเองมีการสต๊อกชิ้นส่วนไว้แล้วระดับหนึ่ง ทำให้ค่ายรถในไทยพอจะจัดการกับสถานการณ์นี้ได้ในระยะสั้น ทว่าปัญหาสงครามและผลของการคว่ำบาตร ที่ยืดเยื้อจะทำให้ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนลุกลามไปทั่วโลก และกระทบกับการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกของไทยโดยรวม ทั้งปีได้

ทำให้คาดว่าการส่งออกรถยนต์ของไทยไปต่างประเทศในปี 2565 นี้อาจทำได้เพียง 850,000-900,000 คัน หรือติดลบ 6.0-11.0% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ส่งออกได้ถึง 959,194 คัน

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน