ล่าไอ้โม่งซ้ำเติมวิกฤต
ตุน‘หน้ากาก’ขาดตลาด
เด้งด่วนอธิบดีค้าภายใน
ปชป.ฟัดนัว-ไล่ลาออก
คอลัมน์ แฟ้มคดี
ล่าไอ้โม่งซ้ำเติมวิกฤต ตุน‘หน้ากาก’ขาดตลาด – ถือเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก
ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็น 1 ในประเทศที่เกิดโรคระบาด แต่ในขณะที่รอการตัดสินใจของรัฐบาล ในการออกมาตรการป้องกัน ป้องปราม ไม่ให้เชื้อโรคแพร่ไปอย่างรวดเร็ว
กลับมีเรื่องที่น่าปวดหัวมากยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าหน้ากากอนามัย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวของคนทั่วไปกลับขาดตลาดไปอย่างไร้สาเหตุ
แม้จะถูกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุม ส่งทหารเฝ้าถึงโรงงาน แต่หน้ากากกลับหายออกจากตลาด หายากยิ่งกว่าทองคำ
จนกระทั่งมีการเปิดโปงกันว่ามีคนสนิทของรัฐมนตรี ไลฟ์สดขายหน้ากากกันเป็นหลักล้านชิ้น สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคม
แม้จะมีการตั้งข้อหา แต่คดีก็ไม่คืบหน้าและส่อว่าจะไปไม่ถึง ผู้บงการ
นอกจากนี้ยังพาดพิงไปถึงที่ปรึกษารัฐมนตรีอีกคน ที่เกี่ยวพันกับการกักตุนหน้ากาก รวมถึงการพาดพิงว่ากรมการค้าภายในอนุมัติให้ส่งออกหน้ากากอนามัยบิ๊กล็อต
การสอบสวนคลี่คลายยังไม่เกิดขึ้น หน้ากากก็ยังขาดตลาดอยู่ดี
เพิ่มเติมคือคดีฟ้องร้องระหว่างกัน ที่รอการพิสูจน์ต่อไป
■ ปชป.ฟัดนัว-ปมกักตุน
จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้สังคมเกิดความหวาดผวา พยายามที่จะหาซื้อหน้ากากอนามัยใส่เพื่อป้องกันตัวเอง แต่ไม่สามารถหาได้เพราะสินค้าขาดตลาด
กลายเป็นคำถามถึงกรมการค้าภายใน และกระทรวงพาณิชย์ ว่าเหตุใดเมื่อประกาศให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม ห้ามส่งจำหน่ายนอกประเทศไปแล้ว ทำไมสินค้าในประเทศถึงไม่พอใช้
ขณะที่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม นำหลักฐานข้อมูลการกักตุนหน้ากากอนามัย มอบให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร. โดยระบุว่า เอกสารที่นำมาทั้งหมดเกี่ยวข้องกับขบวนการค้าหน้ากากอนามัยทั้งในและต่างประเทศ เชื่อมโยงกับนักการเมืองหลายกลุ่ม
มีหญิงสาวที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาล เป็นคนรับส่วนต่างจากบริษัทที่ส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศ และมีข้อมูลว่า 14 บริษัทเอกชนเกี่ยวข้องกับการหายไปของหน้ากากอนามัยจำนวนมาก และมีข้อมูลว่ามีพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มการเมืองหนึ่งในรัฐบาล จับมือกับอดีตนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดผลกระทบต่อรัฐบาล
ต่อมาวันที่ 17 มี.ค. นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความ รับมอบอำนาจ จาก นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ แจ้งความกับ พ.ต.ท.นิติธร เดชระพีร์ รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีนายอัจฉริยะ ฐานความผิดเรื่องหมิ่นประมาท หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการ กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ กรณีไลฟ์สดผ่านเพจชมรมในเฟซบุ๊ก พาดพิงว่ามีหญิงสาวที่เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในรัฐบาล เป็นคนรับส่วนต่างจากบริษัทที่ส่งออกหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะ และบุคคลที่เกี่ยวข้องในข้อหาหรือฐานความผิดเรื่องหมิ่นประมาท หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาไปแล้วเพื่อให้พนักงานสอบสวน นำตัว ผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
ขณะที่นายอัจฉริยะ ไปขอข้อมูลการจ่ายหน้ากากอนามัยของกระทรวงพาณิชย์ โดยมีนายประโยชน์ เพ็ญสุต รองอธิบดีกรมการค้าภายใน รักษาการอธิบดี มาพบและชี้แจงข้อซักถาม
พร้อมประกาศจะเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีกับนางมัลลิกา ฐานแจ้งความเท็จ
ไม่เพียงแค่นั้นภายในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ถล่มกันแหลกเรียกร้องให้นางมัลลิกาลาออก หลังจากตกเป็นข่าวถูกกล่าวหาอื้อฉาว
แต่เจ้าตัวปฏิเสธ ขอทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี
ก็ต้องรอดูว่าผลแห่งคดีกักตุนจะลามไปถึงไหนหรือไม่
■ อึ้งคนใกล้ชิดรมต.ขาย 200 ล.ชิ้น
ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องวุ่นๆ เมื่อเพจเฟซบุ๊กชื่อดังอย่าง ‘แหม่ม โพธิ์ดำ’ ก็ออกมาแฉเมื่อวันที่ 9 มี.ค. โดยนำคลิปวิดีโอ ที่โพสต์ โดย นายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ บอย รวมทั้งไลฟ์สด ขายหน้ากากอนามัย โดยขายเป็นล็อตใหญ่ครั้งละ 1 ล้านชิ้น ในราคาชิ้นละ 14 บาท
พร้อมยืนยันสินค้ามีเยอะแยะมากมาย ไม่ต้องกลัวจะไม่ได้ของ ขอเพียงแค่มีเงินเท่านั้น หนำซ้ำยังระบุว่าขายไปแล้วทั้งหมดกว่า 200 ล้านชิ้น!??
นอกจากนี้ยังมีคลิปวิดีโอกองลังหน้ากากอนามัยสูงเป็น ภูเขา ตั้งอยู่ภายในสถาบันพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการไทย-จีน และยังมีรูปถ่ายกับบุคคลหลากหลาย อ้างเป็นคนจากอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่ค้าออนไลน์ของจีน และนักธุรกิจมากมาย
1 ในนั้น ก็คือ พี่เทพ-พิตตินันท์ รักเอียด คนใกล้ชิดของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์
เมื่อความเชื่อมโยงมาถึงขนาดนี้ กระแสสังคมก็กระหน่ำถาโถมทันที เพราะในขณะที่คนหาซื้อของไม่ได้ แต่คนใกล้ชิดรัฐมนตรีกลับประกาศขายกันอย่างโจ๋งครึ่ม
ร้อนจนร.อ.ธรรมนัส ต้องออกมาชี้แจงว่า นายพิตตินันท์ เป็นคณะทำงานของตนจริง ไปพบนายศรสุวีร์ ตามคำแนะนำของเพื่อนเพื่อพูดคุยเรื่องหน้ากากอนามัยจริง ที่โรงแรมแมริออท ประตูน้ำแต่ไม่ได้ซื้อขายหน้ากากกัน
เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ ให้นายพิตตินันท์ไปแจ้งความเอาผิดนายศรสุวีร์ ในความผิดกักตุนสินค้า พร้อมปลดออกจากคณะทำงาน ตั้งกรรมการสอบ
ต่อมาในวันที่ 13 มี.ค. ร.อ.ธรรมนัส ก็ระบุอีกว่า ตรวจสอบแล้ว นายพิตตินันท์ไม่เกี่ยวข้อง เป็นแค่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ขณะที่ตำรวจเร่งสอบสวนนายศรสุวีร์ ซึ่งเจ้าตัวอ้างว่า ไม่มีหน้ากากจริง แค่ไปโพสต์เล่นๆ คลังที่เข้าไปถ่ายเป็นของใครก็ไม่รู้ ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้แจ้งความเอาผิดนายศรสุวีร์ 3 ข้อหา
อีกด้านอดีตผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐ ไปแจ้งความเอาผิดเพจแหม่มโพธิ์ดำ ในความ ผิดพ.ร.บ.คอมพ์ ที่โพสต์การกักตุนขายหน้ากาก 200 ล้านชิ้น
คนแฉการกักตุนกลับโดนคดี
■ เด้งอธิบดีเซ่นปมหน้ากาก
อย่างไรก็ตามเรื่องไม่ได้จบลงแค่ตรงนี้ โดยเมื่อวันที่ 11 มี.ค. นายชัยยุทธ คำคุณ โฆษกกรมศุลกากร แถลงภาพรวมการ ส่งออกหน้ากากอนามัย ในปี 2563 ว่า เดือนม.ค.ที่ผ่านมาส่งออก 150 ตัน ก.พ. 180 ตัน รวม 2 เดือน 330 ตัน คิดเป็นมูลค่า 160 ล้านบาท ซึ่งเป็นการส่งออกตามใบอนุญาตของกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เป็นการส่งออกโดยผู้ประกอบการไม่กี่ราย ส่งไปทั้งที่จีน ฮ่องกง และสหรัฐ
ส่งผลให้ นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ในขณะนั้น ระบุว่าเป็น ข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะหลังจากที่ คณะกรรมการว่าด้วยสินค้าและบริการ ออกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมห้าม ส่งออก ตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมาก็ไม่มีการส่งออกอีก
ยึดตามหลักการของอนุกรรมการ ที่ระบุ 3 เงื่อนไข คือ 1.หน้ากากอนามัยที่ใช้ในประเทศ จะไม่ให้ส่งออก 2.การขออนุญาตส่งออก ต้องเป็นหน้ากากอนามัยที่มีสเป๊กเฉพาะ หรือมีลิขสิทธิ์ และ 3.หน้ากากผลิตเพื่อการส่งออก 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขบีโอไอ
พร้อมเดินหน้าแจ้งความดำเนินคดีโฆษกกรมศุลกากร ใน 2 ข้อหาคือ การหมิ่นประมาท และเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน
เนื่องจากข้อมูลการแถลงเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนสร้างความเสียหายให้กรมการค้าภายใน ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักโฆษกเป็นการส่วนตัว ไม่ได้ไม่พอใจ ตนเป็นลูกหม้อกรมการค้าภายใน ซึ่งการฟ้องเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของกรมการค้าภายในแต่ต้องแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่พูดออกมาผิดพลาด และการที่ออกมาชี้แจงไม่พอต้องแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้
ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรก็เข้าตรวจสอบโกดังเก็บสินค้า ท่าเรือเอ 3 ท่าเรือ แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี บุกเปิดตู้คอนเทนเนอร์ 4 ใบ ซึ่งภายในบรรจุหน้ากากอนามัยหลากหลายชนิด ทั้งแบบธรรมดา แบบใช้ในทางการแพทย์ แบบพรีเมียม รวมทั้งสิ้นกว่า 5.6 ล้านชิ้น แบ่งออกเป็นตู้คอนเทนเนอร์ละ 1.4 ล้านชิ้น เตรียมส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งขนถ่ายขึ้นเรือบรรทุกสินค้า ผ่านทางท่าเรือแหลมฉบัง
ขณะที่กรมการค้าภายในระบุเป็นการส่งออกถูกต้องตามเงื่อนไขบีโอไอ
ไม่เพียงแค่นั้นคล้อยหลังการประชุมรับมือโควิดที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ก็ใช้อำนาจนายกฯ สั่งย้ายนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกฯ โดยที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.พาณิชย์ไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน
ส่งผลให้นายวิชัยยื่นหนังสือลาออก ระบุว่าเพื่อรักษาศักดิ์ศรีข้าราชการ
ต่อมารองอธิบดีให้เจ้าหน้าที่ไปถอนฟ้อง
ซัดกันพัลวัน-แต่หน้ากากขาดตลาดเหมือนเดิม