สมศักดิ์ ชฎารัตน์
อดิศร จิตตเสวี
เรื่อง/ภาพ
ลีลาการขายสินค้าของพ่อค้าแต่ละคนนั้นเป็นศิลปะเฉพาะตัว แต่สิ่งที่ทำให้พ่อค้า แม่ค้าสามารถยืนอยู่ในใจลูกค้าได้อย่างยาวนาน คือความซื่อสัตย์ สินค้าดีก็บอกว่าดี ของมีตำหนิตรงไหนก็ต้องไม่หมกเม็ด ควรบอกเพื่อให้ลูกค้าเป็นผู้ตัดสินใจเอง
โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูง เช่น รถยนต์มือสอง หากดีแต่ใช้เล่ห์เหลี่ยมการขายที่ไม่ตรงไปตรงมา สุดท้ายแล้วสักวันก็ต้องหมดที่ยืนในวงการจนได้ เพราะสมัยนี้เพียงแค่โพสต์ข้อมูลลงไปตามเว็บเพจต่างๆ ผู้คนทั้งสังคมเขาก็รับรู้กันหมด หากเป็นข้อมูลจริง ตำรวจก็ย่อมจะเฉยอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
เช่นเมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 ส.ค. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบก.สปพ. พร้อม พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท. พ.ต.อ.จักรเพชร เพชรพลอยนิล ผกก.บก.สายตรวจ นำกำลังไปตรวจสอบที่เต็นท์รถยนต์ Car Park ภายในศูนย์รวมรถยนต์ PG ถนนกาญจนาภิเษก แขวง-เขตบางแค กทม. ก่อนตรวจสอบรถมือสองที่จอดขายอยู่จำนวน 83 คัน
พบรถยนต์ที่เข้าข่ายกระทำความผิดในเบื้องต้นจำนวน 23 คัน ประกอบด้วยรถที่ไม่ชำระภาษี 18 คัน และรถที่ไม่ติดแผ่นป้ายแสดงการเสียภาษีอีก 5 คัน นอกจากนั้นยังพบรถยนต์ 1 คัน ใช้แผ่นป้ายทะเบียนที่ไม่ได้ออกโดยกรมการขนส่งทางบก ซึ่งรถทั้งหมดนี้จะต้องตรวจสอบหาที่มาที่ไปอย่างละเอียดทั้งหมดอีกครั้งว่าทางเต็นท์ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์เปิดเผยว่า เบื้องต้นมี ผู้เสียหายกว่า 60 ราย เข้าร้องทุกข์เจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าเต็นท์รถดังกล่าวมีพฤติกรรมทำความผิดธุรกิจของเต็นท์รถดังกล่าว จึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบ โดยทุกภาคส่วนที่เดินทางมาปฏิบัติงานในวันนี้จะต้องทำความจริงให้ปรากฏ
เบื้องต้นเราพบความผิดที่สามารถดำเนิน การกับน.ส.ทัศนีย์ เช้าเจริญประกิจ อายุ 38 ปี เจ้าของเต็นท์ได้แล้วจำนวน 7 ข้อหา ทั้งตามหมายจับตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ตามประมวลกฎหมายอาญา ตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และพ.ร.บ.ค้าของเก่า ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธทั้งหมด อ้างว่าไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ตำรวจจะให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย
หลังข่าวการตรวจค้นจับกุมแพร่ออกไป มีผู้เสียหายที่ทราบข่าวต่างพากันเดินทางไปแจ้งความเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ต่างพากันหอบเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ดำเนินคดีกับน.ส.ทัศนีย์ เจ้าของเต็นท์ ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ตำรวจถึงกับต้องระดมกำลังพนักงานสอบสวนที่ไม่ได้เข้าเวรให้มาช่วยรับแจ้งความกันเลยทีเดียว
ขณะที่ น.ส.กัลยา ศิริสิทธิ อายุ 25 ปี อาชีพมัคคุเทศก์ หนึ่งในผู้เสียหาย เปิดเผยว่า เมื่อ วันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมาเดินทางไปจองรถยนต์มือสองยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นแคปติว่า จากเต็นท์ดังกล่าว โดยมีน.ส.ทัศนีย์เป็นผู้รับเรื่อง
ตนวางมัดจำเอาไว้ จำนวน 5,000 บาท แต่พอถึงวันไปทำสัญญาซื้อและรับสินค้า รถคันที่เต็นท์นำมาให้กลับมีสเป๊กไม่ตรงตามรุ่นที่ตกลงกันไว้ ตนจึงขอเงินมัดจำคืนหลายครั้ง แต่น.ส.ทัศนีย์ก็บ่ายเบี่ยงไม่ให้เงินคืน อ้างว่าจะพยายามหารถรุ่นที่ตรงตามข้อตกลงมาให้จึงตกลงกันไม่ได้ กระทั่งเห็นข่าวจึงตัดสินใจเดินทางมาแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน
ขณะที่ผู้เสียหายบอกตรงกันว่า คนขายจะให้ทำสัญญาวางเงินแต่ไม่ยอมระบุรายละเอียดรถที่จะซื้อให้ชัดเจน พอวันมารับรถหากลูกค้าโวยวายไม่ยอมรับก็จะอ้างว่าไม่ได้ระบุว่าจะซื้อรถคันไหน แค่วางเงินไว้เท่านั้น พร้อมทั้งไม่ยอมคืนเงินมัดจำให้
ต่อมาวันที่ 24 ส.ค. ที่สน.หลักสอง พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ไปติดตามความคืบหน้าหลังจากตำรวจขยายผลจับกุมนายปานเดชา หรือเอ็ม รชตะวารีกุล อายุ 31 ปี และนายพาทิศ ฮะกีมี อายุ 23 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาธนบุรี ที่ จ.513-516/2560 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ทั้งสองมีพฤติกรรมเกี่ยวข้องตามที่ผู้เสียหายร้องทุกข์
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์กล่าวว่า ผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความอีกคาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 100 ราย อย่างไรก็ตาม จะตรวจสอบเต็นท์อื่นๆ อีกว่าเมื่อผู้เสียหายซื้อไปแล้วมีปัญหาจากการโฆษณาของเต็นท์ที่ผิดไปตามที่โฆษณาเอาไว้ถือเป็นการฉ้อโกง เหมือนการหากินอีกรูปแบบหนึ่ง ทั้งหมดเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน และรูปแบบแตกต่างกัน คดีจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผู้เสียหายเข้ามาแจ้ง
“เต็นท์ส่วนมากไม่มีใบอนุญาตค้าของเก่า รถทั้งหมดที่ยึดมาได้และบางส่วนจะเอาไปตรวจสอบที่กองพิสูจน์หลักฐานว่ามีการดัดแปลงหรือมีการแจ้งหายหรือไม่และจะมีการแจ้งดำเนินคดีอีกในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ต่อไปจะตรวจสอบทุกเต็นท์รถในนครบาลและที่อื่น เพราะพวกนี้ทำเป็นขบวนการน่าจะเกี่ยวข้องกับแก๊งรับจำนำรถ แก๊งลักรถ ที่ผ่านมาสามารถตรวจยึดและเอาไปตรวจสอบแล้วกว่า 370 คัน ซึ่งจะประสานทาง ปปง.เพื่อตรวจสอบและยึดทรัพย์ผู้ที่กระทำความผิดที่ถือเป็นการฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากซื้อรถแล้วไม่ได้ตรงกับคำโฆษณา” ผบก.สปพ.กล่าว
เรื่องนี้พิสูจน์ถึงคำพูดที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ยังใช้ได้อยู่เสมอ
