เรียกได้ว่าหลักฐานมัดแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับคดีการหายตัวไปนานกว่า 3 เดือน ของ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย
แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถติดตามรถเก๋ง และสืบรู้ว่านาทีสุดท้ายนั้น ผอ.อ้อยอยู่กับใคร
ซึ่งก็คือผู้กองเหน่ง ที่มีความสนิทสนม และเกิดปัญหาหนี้สินระหว่างกัน
จนสามารถแจ้งข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวได้สำเร็จ และในที่สุดญาติก็เดินหน้าค้นหาจนพบโครงกระดูก
ซึ่งพฐ.เองก็ระบุผลตรวจว่าตรงกับผอ.อ้อย!!?
นำมาซึ่งการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้กองเหน่งอีก 2 ข้อหาหนัก คือเจตนาฆ่า และ ซ่อนเร้นอำพรางศพ
พร้อมยื่นถอนประกัน ส่งตัวเข้านอนคุก
สร้างความยินดีให้กับครอบครัว ที่อุตส่าห์เพียรพยายามตามหาลูกสาวมานานกว่า 3 เดือน
และหวังจะได้เห็นความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับครอบครัว
ผลดีเอ็นเอชัด-ผู้กองเหน่งนอนคุก
หลังจากที่ครอบครัวของ น.ส.จุฑาภรณ์ อุ่นอ่อน หรือ ผอ.อ้อย ผอ.กองการศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม อบต.ชำ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ที่หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2560 พบหัวกะโหลก และโครงกระดูก ห่างจากฐานอนุพงษ์ ต.โคมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังพบเส้นผม เข็มขัด หัวเข็มขัดข้าราชการ และเสื้อผ้าของผู้หญิง สเตย์รัดหน้าท้อง และนาฬิกาที่สามีและญาติ ยืนยันชัดเจนว่าเป็นของ ผอ.อ้อย
และเพื่อความแน่นอนจึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่รับทราบ ก่อนจะส่งต่อให้สถาบันนิติเวชตรวจสอบ
ในที่สุดเมื่อผลตรวจออกมาความจริงก็ปรากฏ ว่าแท้ที่จริงโครงกระดูกเหล่านั้นก็คือผอ.อ้อยนั่นเอง !??
โดย พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผบ.ตร. ที่ลงเกาะติดคดีนี้ เปิดเผยว่า สถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ ยืนยันว่าผลการตรวจดีเอ็นเอตรงกัน จากการเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอจากกระพุ้งแก้มของพ่อและแม่ผอ.อ้อย เทียบกับดีเอ็นเอที่ได้จากกะโหลก และกระดูกต้นขา
จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.กันทรลักษ์ ก็ต้องเรียกตัว ร.อ.ศุภชัย ภาโส หรือ ผู้กองเหน่ง นายทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 6 อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี มาแจ้งข้อหาเจตนาฆ่า และซ่อนเร้นอำพรางศพเพิ่มเติม
จนกระทั่งเช้าวันที่ 30 ต.ค. ผู้กองเหน่งเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนที่บก.ภ.จว.ศรีสะเกษ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยผู้กองเหน่งแต่งกายเครื่องแบบทหารเต็มยศ ใช้บันไดหลังอาคารขึ้นตึก เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับญาติของผอ.อ้อยที่ดักรออยู่ด้านหน้า
หลังสอบปากคำนาน 4 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แจ้งเพิ่มอีก 2 ข้อหา จากเดิมที่แจ้งไว้ 8 ข้อหา รวมทั้งหมดโดน 10 ข้อหาหนัก
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจและนายทหารพระธรรมนูญ ก็ควบคุมตัว ผู้กองเหน่ง ขึ้นรถไปฝากขังที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ พร้อมยื่นถอนประกัน เนื่องจากเป็นข้อหาหนักมีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต
นอกจากนี้ญาติยังกังวลว่าผู้ต้องหาอาจจะหลบหนี หรือไปยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน
โดยเมื่อเจ้าหน้าที่นำตัวผู้กองเหน่งออกมา ก็มีสีหน้าถอดสีชัดเจน เมื่อเจอญาติของผอ.อ้อยเข้ามาชี้หน้าถามว่าฆ่าผอ.อ้อยทำไม พร้อมสาปแช่งให้ตายตกไปตามกัน
หลังสอบพยานหลายชั่วโมง ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ก็มีคำสั่งถอนประกัน เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์ และเกรงว่าจะหลบหนี พร้อมส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำอำเภอกันทรลักษ์
รอเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
ย้อนปมฆ่ารัดคอผอ.อ้อย
สำหรับคดีนี้เริ่มต้นจากเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2560 เมื่อ น.ส.จุฑาภรณ์ หรือ ผอ.อ้อย หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมรถเก๋งโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กษ 8201 เชียงใหม่ โดยช่วงเช้าผอ.อ้อย ยังเดินทางไปส่งลูกสาวที่โรงเรียน ก่อนจะโทรศัพท์ไปลางานที่อบต. บอกว่าจะไปจัดการธุระ และจะกลับมาทำงานอีกวัน
แต่วันรุ่งขึ้นผอ.อ้อยกลับไม่ไปทำงาน แถมยังไม่สามารถติดต่อได้ แม้จะมีการเคลื่อนไหวจากไลน์ และเฟซบุ๊ก แต่ก็มีลักษณะเป็นพิรุธ เหมือนกับไม่ใช่ตัวจริง
เป็นจุดเริ่มต้นที่ครอบครัวผอ.อ้อยเริ่มตามหา โดยจุดแรกก็คือบ้านเพื่อนหรือคนรู้จักที่คิดว่าผอ.อ้อยจะไปอาศัยอยู่ แต่ก็ไร้วี่แวว
จนกระทั่งครอบครัวไปแจ้งความไว้ที่ สภ.บึงมะลู อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า จนกระทั่งพ่อของผอ.อ้อยตัดสินใจร้องเรียนสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 8 ส.ค.
จากนั้นอีกไม่กี่วันเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ติดตามจนพบรถเก๋งวีออส
โดยพบว่ารถคันดังกล่าวถูกขายให้กับ เสี่ยต. พ่อค้ารถมือสอง และนำมาให้ช่างทำ สีใหม่ ที่อู่ใน จ.อุบลราชธานี ซึ่งจากการตรวจสอบพบเครื่องใช้ส่วนตัวของผอ.อ้อย ซึ่ง เสี่ยต.เองก็ให้การว่ามีน้องที่เป็นนายหน้าซื้อมาจากคนที่ประกาศขายในเฟซบุ๊ก จึงตกลงซื้อในราคา 2 แสนบาท และโอนลอยมาให้
เมื่อตรวจสอบลึกลงไปก็พบว่า ที่แท้คนที่เอาเก๋งมาฝากขายก็คือผู้กองเหน่งนั้นเอง
อีกทั้งตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ก็พบว่าทั้งคู่ไปด้วยกัน เมื่อสอบสวนผู้กองเหน่ง ก็ยอมรับว่าได้เดินทางไปที่ จ.อุบลราชธานี กับผอ.อ้อย แต่กลับมาที่ อ.กันทรลักษ์ ตอนเที่ยงก่อนจะมีคนมารับตัวไปอีกครั้ง
ขณะที่เพื่อนของผอ.อ้อย ระบุว่า ทั้งคู่รู้จักกันเมื่อปลายปี 2558 และไปมาหาสู่กันตลอด จนถึงขั้นหยิบยืมเงินทองหลายต่อหลายครั้ง จนเป็นเงินกว่า 3 แสนบาท
ซึ่งเมื่อติดต่อทวงหนี้ แต่ไม่สำเร็จ ก็น่าจะกลายเป็นชนวนสังหาร แถมคนร้ายยังเอารถผอ.อ้อยไปขายเอาเงินมาใช้อีก
เรียกว่าพยานหลักฐานครบถ้วน เพื่อเอาผิดกับคนร้ายที่ลงมือโหดครั้งนี้
เผยเบาะแส-พ่อแม่หาจนเจอ
หลังจากที่รับทราบว่าโครงกระดูกมนุษย์ที่พบเป็นของผอ.อ้อยจริง แม้คนในครอบครัวโดยเฉพาะนายบุญเลิศ อุ่นอ่อน อายุ 62 ปี นางแหลม อุ่นอ่อน อายุ 60 ปี พ่อและแม่ จะเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่อย่างน้อยก็โล่งใจที่ในที่สุดภารกิจค้นหาร่างของผอ.อ้อยที่ยืดเยื้อยาวนานมานับเดือนก็สิ้นสุดลง
ซึ่งต้องยอมรับการทุ่มเทและความมุ่งมั่นของครอบครัวอุ่นอ่อน ที่แม้การค้นหาในช่วงแรกของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องถอนตัวออกไป แต่ครอบครัวก็ยังไม่หมดหวัง เดินหน้าค้นหาด้วยตัวเอง พร้อมประกาศจะให้เงินรางวัล 3 แสนบาท แก่คนที่ให้เบาะแส
ทั้งพึ่งพรานป่าที่เชี่ยวชาญเส้นทาง และไสยศาสตร์ตามที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจได้
ดั้นด้นตามไปจนถึงชายแดนไทย-ลาว ที่ไหนที่อ้างว่าพบศพนิรนามก็เดินทางไปตรวจสอบทั้งหมด
ในที่สุดก็สามารถไปเจอโครงกระดูกที่เนิน 500 ห่างจากฐานอนุพงษ์ ต.โคมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี แม้ทางแม่ของผอ.อ้อยจะยืนยันว่าเกิดจากลูกสาวเข้าฝัน แต่จากแนวทางสืบสวนก็ยังมีเบาะแสในช่องทางอื่นอยู่
ไม่ว่าจะจากชาวบ้านในพื้นที่ที่ให้เบาะแส และจากการเช็กสัญญาณโทรศัพท์ที่พบว่าสัญญาณสุดท้ายที่หายไป คือใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จึงขีดวงรอบรัศมี 4 กิโลเมตร พลิกแผ่นดินค้นหา
ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ
ซึ่งก็มีรายงานข่าวว่า มีชาวบ้านที่หาของป่าแถวนั้นเป็นผู้พบแล้วจึงมาแจ้งเจ้าหน้าที่อีกที
หลังจากได้รับโครงกระดูกของลูกสาวแล้ว พ่อและแม่ของผอ.อ้อย ก็เตรียมทำพิธีศพที่บ้านหลังที่กำลังก่อสร้างของผอ.อ้อย
โดยนายบุญเลิศเปิดเผยว่า รู้สึกสบายใจและโล่งใจที่ศาลจังหวัดกันทรลักษ์ถอน ประกันตัวร.อ.ศุภชัย หรือผู้กองเหน่ง และยืนยันว่าหลังจากนี้จะเดินหน้าตามหากระดูกของลูกสาวให้ได้ครบทุกชิ้น เมื่อตรวจดีเอ็นเอเรียบร้อย ก็จะทำพิธีทางศาสนา แต่จะไม่เผาศพลูก เพราะถือเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่จะเอาผิดคนร้ายได้
เมื่อใดที่คดีสิ้นสุดก็พร้อมที่จะเผาศพลูกสาว
ทั้งนี้ จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ คาดว่าการลงมือโหดครั้งนี้เกิดจากความโกรธแค้นที่ผอ.อ้อย เดินทางมาทวงเงินที่ติดค้างกันอยู่กว่า 3 แสนบาท จากผู้กองเหน่ง ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ถึงค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี
สุดท้ายผู้บังคับบัญชาก็บอกให้ทั้งคู่ไปตกลงกันเอง
ต่อมาผู้กองเหน่ง กับผอ.อ้อย ก็นั่งรถไปด้วยกันที่จุดผ่อนปรนช่องอานม้า ด่านผ่านแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ ต.โซง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
ซึ่งคาดว่าขณะที่นั่งรถไปด้วยกัน อาจเกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น จนผู้กองเหน่งบันดาลโทสะ ใช้เข็มขัดรัดคอจากด้านหลังจนกระดูกหักติดกับเศษผม จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าออกเพื่ออำพราง หวังให้เน่าสลายไปเอง
พร้อมมั่นใจว่าจะไม่มีใครหาพบ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่ลึกลับซับซ้อน ใกล้ฐานปฏิบัติการทหาร แถมยังเป็นดงกับระเบิด
แต่สุดท้ายก็ถูกค้นเจอ และกลายเป็นหลักฐานสำคัญ
มัดจนดิ้นไม่หลุด!?