คอลัมน์ แฟ้มคดี

ย้อนตำนาน‘จิ้งเขียว’ ยันตระต้องปาราชิก โผล่ไทยฉลองวันเกิด อึ้งพระแห่กราบไหว้

กลายเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามถึงความเหมาะสมกับคณะสงฆ์ไทยในปัจจุบันอีกครั้ง

เมื่อจู่ๆ ก็ปรากฏภาพพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง กราบไหว้ฆราวาสอย่างออกหน้าออกตา ซึ่งฆราวาสคนดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น อดีตพระยันตระ หรือ นายวินัย ละอองสุวรรณ อดีตพระสงฆ์ผู้อื้อฉาวในอดีต

ผู้ที่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะเสพเมถุน

จากพระนักเทศน์รูปงาม มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วโลก พาญาติธรรมทัวร์เผยแผ่ศาสนาในต่างประเทศ ก่อนถูกกระชากหน้ากาก ทั้งวัตรปฏิบัติที่อวดอุตริ ลอกบทกวีของอาจารย์ชื่อดัง และการใช้ชีวิตเสพสุขในต่างแดน

มีกระทั่งหลักฐานเป็นลายเซ็นจ่ายบัตรเครดิตที่ลูกศิษย์ถวายให้ใช้ในการธุดงค์ ไปเที่ยวหาความสุขในอาบอบนวดแทน

จึงกลายเป็นคำขาดให้ยันตระต้องเจาะเลือดพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกกับด.ญ.กระต่าย พยานรักที่เกิดกับลูกศิษย์สาว

สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่ยอมเจาะเลือด แต่ใช้วิธีนุ่งห่มผ้าเขียว ขาดจากความเป็นพระ จนกลายเป็นที่มาของคำว่า ‘จิ้งเขียว’

แม้คดีทางโลกจะหมดอายุความ เจ้าตัวเดินทางกลับไทยได้ แต่ก็เกิดคำถามว่าเหตุใดยังคงกราบไหว้กันได้ลงคอ!??

 

■ อดีต‘ยันตระ’กลับฉลองวันเกิด

เหตุการณ์นี้กลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง โดยเมื่อวันที่ 21 ต.ค. มีการเผยแพร่ภาพของนายวินัย ละอองสุวรรณ หรืออดีตพระยันตระ อมโร อดีตพระภิกษุชื่อดัง ที่มีพระภิกษุ และแม่ชี กราบไหว้นายวินัยที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างสง่างาม โดยมีการระบุว่าสถานที่ดังกล่าวคืออาศรมเกพลิตา โพธิวิหาร ต.หนองบอน อ.เมือง จ.สระแก้ว

จนเกิดคำถามถึงความไม่เหมาะสมที่พระภิกษุมากราบไหว้ฆราวาส แถมยังเป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิกมาก่อนหน้านี้

เมื่อตรวจสอบก็ทราบว่า นายวินัยเดินทางกลับมาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ก่อนจะพักบ้านลูกศิษย์ที่จ.ปทุมธานี แล้วไปยังสำนักป่าสุญญตาราม บ้านเกริงกระเวีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี แล้วจึงเดินทางไปบ้านเกิดที่อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ระหว่างวันที่ 16-18 ต.ค.

ซึ่งก็มีคลิปวิดีโอระหว่างที่นายวินัยและลูกศิษย์ไปสักการะพระบรมธาตุเจดีย์ วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมือง จ.นคร ศรีธรรมราช โดยมีชาวบ้านมารอต้อนรับนับสิบ แถมยังนำผ้าขาว กระเป๋าสะพาย กระเป๋าเงิน ให้นายวินัยเหยียบตลอดทาง

คิดว่าเป็นเรื่องสิริมงคล!??

เยี่ยมลูกศิษย์

ต่อมาวันที่ 19 ต.ค. นายวินัยเดินทางไปพำนักที่อาศรมเกพลิตา โพธิวิหาร จ.สระแก้ว และยังไปบ้านลูกศิษย์ที่จ.ปทุมธานี ก่อนเดินทางกลับสหรัฐ เมื่อเวลา 04.00 น. วันที่ 27 ต.ค.

ซึ่งจากการสอบถามลูกศิษย์ระบุว่า เป็นการเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่ไม่ได้กลับมา 2 ปีจากสถานการณ์โควิด และต่อจากนี้จะกลับมาทุกปีในช่วงวันเกิด 14 ต.ค.

ขณะที่นายวินัยให้สัมภาษณ์ถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม ในการที่มีพระภิกษุมากราบไหว้ว่า “อาตมา ยืนยันว่ายังเป็นนักบวชอยู่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีแต่รูปแบบภายนอกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เพียงแต่อาตมาไม่ปลงผม ไม่ปลงหนวด ปล่อยไปตามธรรมชาติ เพราะอาตมาอยู่อเมริกา อยู่ป่าจะมาวัดเป็นครั้งคราว ในวันวิสาขบูชา หรือวันมาฆบูชา หรือวันอาสาฬหบูชา และไม่เคยเรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ ไม่เคยบอกใครต้องมาเคารพกราบไหว้นอบน้อม”

ส่วนที่เดินทางกลับมาไทยก็เพราะเป็นแดนมาตุภูมิที่เกิดของอาตมา อาตมาเกิดที่ปากพนัง นครศรีธรรมราช ยังมีญาติพี่น้องอยู่มาก ตั้งใจมาเยี่ยม และศิษย์สาธุชนที่ยังมีความเลื่อมใสอยทุกคนดีใจที่อาตมากลับมา ก็มากราบมาไหว้ อาตมาก็ไม่มีสิ่งใดนอกจากพูดให้ธรรมะ และยอมรับว่าจะให้คนมาเข้าใจเราทั้งหมดคงไม่ได้

เป็นคำชี้แจงจากอดีตพระยันตระ

 

■ เอาผิดพระกราบอดีตยันตระ

ขณะที่พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สัญญโต) กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า เชื่อว่าพระสงฆ์ที่ปรากฏในภาพบนคลิป จะเป็นอดีตลูกศิษย์ของอดีตพระยันตระที่ยังคงให้ความเคารพนับถือ

หากเป็นบุคคลทั่วไปที่เป็นฆราวาส เรื่องดังกล่าวคงไม่มีใครติดใจ แต่เมื่อเป็นพระสงฆ์จึงถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสม ที่ไปกราบไหว้บุคคลที่ไม่ใช่พระสงฆ์ที่มีพรรษาสูงกว่าซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร แม้นายวินัยจะกล่าวอ้างยืนยันว่ายังเป็นพระ เพียงแต่ไม่ปลงผม-หนวด แต่คณะสงฆ์ไทยถือว่าปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีก ต่อไป ต้องขาดจากความเป็นพระไปแล้ว

พระธรรมกิตติเมธีกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นจึงถือเป็นความผิด อาบัติทุกกฏ คือ อาบัติที่เกิดจากการทำที่ไม่ดีไม่เหมาะสม คำว่า ทุกกฏ แปลว่า ทำไม่ดี กรรมใดผิดพลั้งและพลาด กรรมนั้นชื่อว่าทำไม่ดี คนทำชั่วอันใดในที่แจ้งหรือในที่ลับ บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียนว่าเป็นคนทำชั่ว ทำไม่ดี ทำผิด

เพราะเหตุนั้น กรรมนั้นจึงเรียกว่าทุกกฏ เป็นอาบัติเบา ส่วนมากเกี่ยวกับมารยาทต่างๆ ที่ไม่เหมาะสม เช่น การฉันภัตตาหารที่ยังไม่ได้รับประเคน การนุ่งห่มจีวรปล่อยชายไม่เรียบร้อย เป็นต้น ซึ่งโทษดังกล่าวไม่ได้ร้ายแรง เพียงแต่ให้พระสังฆาธิการชั้นผู้ใหญ่ของพระสงฆ์ที่ต้องอาบัติทุกกฏ ว่ากล่าวตักเตือน มิให้กระทำความผิดนั้นอีก

นายสิปป์บวร แก้วงาม รองผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) รักษาการผอ.พศ.กล่าวว่า การกราบไหว้อดีตพระยันตระเป็นเรื่องไม่สมควร แม้นายวินัยจะกล่าวอ้างยืนยันยังเป็นพระ เพียงแต่ไม่ปลงผม หนวด แต่คณะสงฆ์ไทยถือว่าท่านปาราชิก ไม่สามารถดำรงตนในฐานะพระภิกษุได้อีกต่อไป ต้องขาดจากความ เป็นพระ

ทราบว่าเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ของกลุ่มพระสงฆ์ลูกศิษย์อดีตพระยันตระ เตรียมจะพิจารณาลงโทษแล้ว โทษ จะหนักหรือเบา คงต้องให้พระสังฆาธิการ ผู้ปกครอง หรือเจ้าอาวาสวัดที่พระนั้นๆ สังกัดเป็นผู้พิจารณาโทษ จะว่ากล่าวตักเตือน หรือลงโทษอื่นๆ มิให้กระทำความผิดนั้นอีก

ชี้เป็นความผิดชัดเจน

 

■ ย้อนคดีเมถุน-ที่มาจิ้งเขียว

หากย้อนคดีอันฉาวโฉ่ของอดีตพระยันตระ เริ่มที่ประวัติของ นายวินัยเอง โดยนายวินัยเกิดเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2494 ที่อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ต่อมาเข้ามาเรียนในกทม. เมื่อเรียนจบ ก็ไปนุ่งขาวห่มขาวเป็นโยคีอยู่ที่เกาะเสม็ด จ.ระยอง และที่ภูกระดึง จ.เลย รวมทั้งเดินทางไปยังอินเดียและเนปาล

จนกระทั่งพ.ศ.2517 จึงบวชเป็นพระภิกษุที่วัดรัตนาราม อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ต่อมาได้สร้างชื่อเสียงมีลูกศิษย์ลูกหามาก ด้วยความเป็นพระสงฆ์ที่หน้าตาหล่อเหลา พูดภาษาอังกฤษได้ แสดงตนเป็นพระปฏิบัติเคร่งครัด ธุดงค์ไปตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ถึงขั้นพาคณะศิษย์ทั้งอุบาสกและอุบาสิกาออกทัวร์รอบโลก อ้างเป็นการปฏิบัติธรรม

โด่งดังในร่มกาสาวพัสตร์อยู่ได้ 20 ปี ก็มีเรื่องขึ้นในปี 2537 เมื่อ ดร.กิ่งแก้ว อัตถากร พาแม่ชีแก้วตา หม่องจินดา ร้องเรียนอธิบดีกรมการศาสนาในขณะนั้นว่าถูกพระยันตระเสพเมถุน และยังมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับสีกาชาวต่างประเทศ คือน.ส.อีวา คาลเดน นักดนตรีชาวเดนมาร์ก และน.ส.ซูซาน วอร์นิเก้ นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน

หนังสือพิมพ์ ‘ข่าวสด’ เป็นสื่อที่เปิดข่าวชิ้นนี้สร้างความฮือฮา ไปทั่ว เพราะเป็นพระที่มีศิษย์สาวกมากมายกว้างขวาง จากนั้นข่าวสดเดินหน้าขุดคุ้ยข้อมูลพยานหลักฐานเพื่อยืนยันความจริงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการปล่อยข่าวว่าเป็นขบวนการนารีพิฆาต และถึงขั้น รมช.ศึกษาธิการสมัยนั้นโจมตีแม่ชีแก้วตาว่าวิกลจริต

เต้นพิสดาร

แต่ด้วยการเปิดโปงข้อมูลและหลักฐานอันชัดแจ้ง ก็พบกับความไม่ชอบมาพากล ทั้งเรื่องการปฏิบัติตัวไม่เหมาะสมในสมณสารูป ทั้งการเล่นตู้เกม แต่งตัวเป็นเจงกิสข่าน จนเริ่มสร้างความหวั่นไหวให้ลูกศิษย์และฝ่ายบ้านเมืองที่ต้องตรวจสอบ

ก่อนมาเจอทีเด็ด เมื่อเปิดตัวนางจันทิมา หรือเทียมจันทร์ มายะรังสี ที่ระบุว่ามีสัมพันธ์กับยันตระ ถึงขั้นมีบุตรสาวด้วยกันชื่อ ‘น้องกระต่าย’ ที่ถือกำเนิดที่ประเทศยูโกสลาเวียในสมัยนั้น

รวมทั้งหลักฐานทางการเงิน สลิปบัตรเครดิตในการท่องเที่ยวอาบอบนวดไดมอนด์เอสคอร์ต ที่นิวซีแลนด์ ด้วยบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส ที่ญาติโยมถวายให้เพื่อใช้เผยแผ่ธรรมะ แต่กลับเอามาใช้เสพสุข

ตรวจสอบลายเซ็นตรงกับพาสปอร์ตอย่างดิ้นไม่หลุด

จนกระทั่งมหาเถรสมาคมมีคำสั่งให้พระยันตระเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ ว่าเป็นพ่อลูกกับด.ญ.กระต่ายจริงหรือไม่ ขีดเส้นในวันที่ 31 มี.ค. 2538

กลับสหรัฐฯ

โดยที่พระยันตระในขณะนั้นก็บ่ายเบี่ยงอ้างถึงขั้นเป็นอนันตริย กรรมที่ทำให้พระอรหันต์หลั่งเลือด

ในที่สุดเมื่อถึงเดดไลน์ พระยันตระก็ไม่ยอมเจาะเลือด แต่กลับเข้ากุฏิผลัดเปลี่ยนเป็นห่มผ้าเขียว และระบุว่าไม่ได้เปล่งคำลาสิกขา จนได้รับขนานนามว่าจิ้งเขียว ต่อมาเพื่อหลบเลี่ยงคดีความที่เกิดขึ้นจำนวนมาก จึงตัดสินใจลี้ภัยไปสหรัฐอเมริกา และกลับไทยอีกครั้งเมื่อปี 2557 เมื่อคดีหมดอายุความ

มาโด่งดังอีกครั้ง เมื่อปรากฏตัวและมีพระสงฆ์กราบไหว้ ยืนยันว่ามีความเป็นสงฆ์ครบถ้วน

สวนทางกับมหาเถรสมาคมก็ยืนยันว่าอาบัติปาราชิกไปก่อนหน้านี้!!!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน