คอลัมน์ สดจากสนามข่าว

ธานี ทวีเกิด / อดิศร จิตตเสวี – เรื่อง/ภาพ

ตามตร.ปิดคดีพตท.เก๊ แต่งเครื่องแบบลวงสาว ถ่ายคลิปลับแบล็กเมล์

ผู้หญิงหลายคนมีความชื่นชอบผู้ชายในเครื่องแบบ นัยว่าควงไปออกงานที่ไหนก็โก้กว่า สร้างแรงดึงดูดใจได้มากกว่าคนธรรมดาลูกตาสีตาสา แต่ในยุคแห่งภาพลวงตา สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้เครื่องแบบอาจไม่ใช่ตามที่คิดหวัง

ย้อนไปเมื่อวันที่ 4 พ.ย. 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม นำโดย พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป. พ.ต.ต.กรพงศ์ วงษาลังการ สว.กก.2 บก.ป. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังคู จ.ฉะเชิงเทรา เข้าจับกุม นายชัยทอง ชาติโสม อายุ 52 ปี พร้อมของกลางวิทยุสื่อสาร 1 เครื่อง, เครื่องแบบตำรวจ พร้อมเครื่องหมายและหมวกของตำรวจ หน่วยต่างๆ อีกหลายรายการ รถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ทะเบียน 4กฆ 7483 กทม. โดยจับกุมตัวได้ในพื้นที่ ม.19 ต.ทุ่งพระยา อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา

นายชัยทองถูกเจ้าหน้าที่กองปราบฯ จับกุมตัวเพราะมีพฤติกรรมชอบแต่งเครื่องแบบนายตำรวจ ยศ พ.ต.ท. ตำแหน่ง รอง ผกก. สังกัดตำรวจภูธร ภาค 4 ก่อนเข้าไปตีสนิทหญิงสาวผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก โดยใช้คารมพูดจาอ่อนหวาน อ้างหารักแท้จะขอแต่งงาน เหยื่อหลงคารมยอมมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง

ที่แสบสันต์กว่านั้นคือเจ้าตัวจะแอบ ถ่ายคลิปวิดีโอขณะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งเก็บไว้ หากวันหนึ่งถูกจับได้ว่าไม่ใช่ตำรวจก็จะงัดคลิปออกมาใช้ข่มขู่ไม่ให้แจ้งความเอาเรื่อง ตำรวจสืบพบอีกด้วยว่าที่ผ่านมามีหญิงสาวหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อนับสิบรายในหลายพื้นที่

กระทั่งสุดท้ายผู้เสียหายบางรายทนพฤติกรรมไม่ไหวเข้าร้องเรียนกับสื่อมวลชน จนมีการนำเสนอเป็นข่าวดังในสื่อสังคมออนไลน์

หลังเป็นข่าว พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง จนทราบว่านายชัยทอง กำลังขับรถมาหาเหยื่อหญิงสาวรายหนึ่งที่ จ.ฉะเชิงเทรา จึงนำกำลังไปดักรอ เมื่อ ผู้ต้องหาขับรถมาถึงจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบเครื่องแบบนายตำรวจติดป้ายชื่อจักรพันธ์ กัณทราบ ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้แอบอ้าง และตราสัญลักษณ์ต่างๆ จึงตรวจยึดไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนนายชัยทองให้การรับสารภาพว่า ตนเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาจริง เบื้องต้น จึงดำเนินคดีนายชัยทองในความผิดซึ่งหน้า จากการครอบครองวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้ รับอนุญาต นำตัวส่ง สภ.วังคู จ.ฉะเชิงเทรา ดำเนินคดีตามกฎหมายไปก่อน ส่วนคดีที่ เจ้าตัวตระเวนหลอกลวงหญิงสาว พนักงานสอบสวนกองปราบฯ อยู่ระหว่างรวบรวมสอบสวนปากคำกลุ่มผู้เสียหายที่เข้า แจ้งความเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามความผิดในทุกกระทงอีกครั้ง

ขณะที่ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงคดีนี้ ว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติแจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

สํานักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอเรียนให้พี่น้องประชาชน ทราบถึงความผิดและอัตราโทษของการแอบอ้างเป็นข้าราชการตำรวจ ดังนี้ 1.ผู้ใดแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 5 ปี ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 108

2.ผู้ใดแต่งกายโดยใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบตำรวจ และการทำการใดๆ อันทำให้ข้าราชการตำรวจถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ข้าราชการตำรวจ หรือทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนเป็นตำรวจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 1,000 ถึง 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มาตรา 110

3.ความผิดตามข้อ 1. และ 2. หากได้กระทำในเขตที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือประกาศภาวะฉุกเฉิน หรือเพื่อกระทำความผิดอาญา ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 108 หรือมาตรา 110

4.ผู้ใดใช้เครื่องหมายราชการ โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน 2,000 บาท ตาม พ.ร.บ. เครื่องหมายราชการ พ.ศ. 2482 มาตรา 6 ประกอบมาตรา 8

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการแสดงภาพยนตร์ ละคร หรือการแสดงใดๆ ที่ประสงค์จะเผยแพร่ต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะเป็นทางโทรทัศน์ โรงภาพยนตร์ หรือสื่อสังคมออนไลน์ ที่ผู้แสดงต้องการแต่งเครื่องแบบตำรวจ หรือใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบตำรวจ สามารถกระทำได้ แต่ต้องแจ้งต่อหัวหน้าสถานีตำรวจในท้องที่ที่จะทำการแสดงทราบ และต้องระมัดระวังเนื้อหาที่ได้แสดง ต้องไม่ทำให้ข้าราชการตำรวจถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ข้าราชการตำรวจ มิเช่นนั้นอาจถูกดำเนินคดีได้

หากพบเห็นบุคคลใดมีพฤติกรรมแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 หรือสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน