“อุดมเกียรติ ทิพย์ศรีกุล”

เรื่อง/ภาพ

ภายใต้สังคมที่ทุกอย่างแทบจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

กล้องวงจรปิดเป็นอีกหนึ่งวิทยาการทันสมัย ที่ทั้งหน่วยงานราชการ เอกชน รวมถึงประชาชนคนทั่วไป ติดตั้งไว้ตามบ้านเรือนและสำนักงาน เพื่อประโยชน์ในการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้เป็นหลักฐาน เผื่อมีเรื่องไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น

แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าพฤติกรรมอันเลวร้ายของตัวเองไม่อาจรอดหูพ้นตาอุปกรณ์ไฮเทคชนิดนี้ไปได้ บรรดาวายร้ายยังเลือกที่จะเดินทางสายโจรภายใต้การจับจ้องของกล้องวงจรปิด

ล่าสุดคนร้ายขบวนการหนึ่งก็ต้อง สิ้นฤทธิ์ด้วยกล้องวงจรปิดอีกแก๊ง ที่สำคัญโจรกลุ่มนี้กลับมีตำรวจเป็นหัวหน้าเสียเอง

จุดเริ่มต้นคดีฉาววงการสีกากีครั้งนี้เริ่มขึ้น เมื่อมีหญิงสาววัย 22 ปีเข้าร้องเรียนกลุ่มนักสื่อสารมวลชนเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ในวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา

หญิงสาวรายดังกล่าวระบุว่า ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อ้างเป็นตำรวจบุกเข้าห้องพัก ที่อพาร์ตเมนต์ในพื้นที่เมืองพัทยา กล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติด รีดเงินและขืนใจแลกกับการเป่าคดีทิ้งปล่อยตัวเธอเป็นอิสระ

เหยื่อสาวเล่าว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้นัดเพื่อนมานั่งคุยเล่นกันที่ห้องพัก

ต่อมามีชายแต่งกายเหมือนเจ้าหน้าที่อาสาสมัครตำรวจ 1 คน และตำรวจ 1 คน เข้ามาแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นหาสิ่งผิดกฎหมาย อ้างว่าติดตามตัวเพื่อนของตนเองมา

คนร้ายทั้งสองพาเธอไปเปิดห้องพัก รายวันในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีชายแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่อาสาสมัครตำรวจรออยู่อีก 1 คน

เหยื่อสาวเล่าให้ฟังอีกว่า คนร้ายที่แต่งกายเป็นตำรวจพาเพื่อนของเธอออกจากห้องไป ปล่อยให้เธออยู่กับคนร้ายที่เหลือ ทั้งคู่พยายามเจรจาให้หาเงินมาแลกกับการปล่อยตัว

แต่เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่าเธอไม่มีทางหาเงินมาได้ ทั้งคู่จึงขอหลับนอนด้วยเป็นการแลกเปลี่ยน เธอจึงต้องจำยอมด้วยความกลัว

ก่อนที่คนร้ายซึ่งแต่งกายคล้ายตำรวจ จะย้อนกลับมาอีกครั้ง และขอหลับนอนกับเธอเป็นคนที่สาม เสร็จแล้วจึงพาเธอกลับไปยังห้องพัก

พร้อมข่มขู่ว่าทั้ง 3 คนรู้จักห้องเธอแล้ว ต้องให้หาเงินมาจ่ายจนครบ 3 หมื่นบาทตามที่ต้องการ หลังนอน คิดอยู่ 1 คืน จึงนำเรื่องมาร้องเรียนต่อกลุ่มนักสื่อสารมวลชนเพื่อขอความเป็นธรรม

พ.ต.อ.อภิชัย กรอบเพชร ผกก.สภ.เมืองพัทยา รีบสั่งเจ้าหน้าที่ ฝ่ายสืบสวนรีบไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของโรงแรมที่เกิดเหตุทันที หลังกลุ่มผู้สื่อข่าวพาผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ซึ่งก็พบภาพคนร้ายทั้ง 3 คนชัดเจน

แม้ว่าทั้งหมดจะสวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า และพยายามเดินหลบมุมกล้อง แต่ก็ไม่อาจหลบสายตาอันคมกริบของนักสืบมือฉมังไปได้ จดจำได้ว่าตัวหัวหน้าแก๊งไม่ใช่ใครที่ไหน

แต่คือ หมู่เอก (นามสมมติ) ตำรวจยศส.ต.ต. ตำแหน่ง ผบ.หมู่ป้องกันปราบปราม โรงพักแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี ที่เพื่อนตำรวจร่วมอาชีพรู้จักกันเป็นอย่างดี

ส่วนเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คนก็เป็นเพียงพลเรือนธรรมดา ไม่ใช่ตำรวจอาสาสมัครแต่อย่างใด จึงรีบประสานผู้บังคับบัญชาให้นำเข้ามอบตัวพร้อมเพื่อนร่วมแก๊งอีก 2 คน ในวันที่ 5 ก.พ.

ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนให้การภาคเสธ โดยยอมรับว่าเป็นบุคคลในภาพกล้องวงจรปิดจริง แต่ไม่ได้ไปข่มขู่กรรโชกทรัพย์และข่มขืนผู้เสียหาย

พนักงานสอบสวนจึงเรียกสาวผู้กล่าวหามาสอบปากคำเพิ่มเติม พร้อมให้ชี้ตัว ผู้ต้องหาทุกราย รวมถึงตรวจสอบประเด็นว่ามีเรื่องพัวพันกับยาเสพติดหรือไม่

พ.ต.อ.อภิชัยเปิดเผยว่า ผลการตรวจสอบแล้วพบว่าผู้เสียหายไม่มีประวัติเคยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงรวบรวมพยานหลักฐาน พร้อมตั้งข้อกล่าวหาหมู่เอก และเพื่อนอีก 2 คน ในฐานความผิดร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว กรรโชกทรัพย์ และ รุมโทรม

ก่อนส่งตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดชลบุรี พร้อมคัดค้านการประกันตัว

รวมถึงส่งสำนวนคดีเสนอเรื่องไปยังล.ต.ต.นันทชาติ ศุภมงคล ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาให้เป็น ผู้พิจารณาบทลงโทษทางวินัย

ส่วนบทลงโทษทางอาญาต้องดูว่ากลุ่มผู้ต้องหาจะนำหลักฐานอะไรมาโต้แย้งหลักฐานที่พนักงานสอบสวนมีอยู่ได้หรือไม่

แต่คดีนี้ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า ไม่มีใครจะอยู่เหนือกฎหมายบ้านเมืองไปได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน