วิเคราะห์การเมือง
คำประกาศอำลาของนิตยสาร “สกุลไทย” รายสัปดาห์ สร้างความสะเทือนใจเป็นอย่างสูง ไม่เพียงแต่สำหรับคอหนังสือ คอนักอ่านประเภทนวนิยายและเรื่องสั้น
หากเป็นสัญญาณ 1 แห่งสภาวะถดถอยของ “สื่อกระดาษ”
ความจริง วิถีแห่ง “สกุลไทย” ก็แทบไม่แตกต่างไปจากที่เคยเกิดขึ้นกับ “สตรีสาร” ที่เคยเกิดขึ้นกับ “ฟ้าเมืองไทย” และที่เคยเกิดขึ้นกับ “บางกอก”
แต่ก็ด้วย “เหตุผล” อันเป็น “รายละเอียด” ที่แตกต่างกัน
“สตรีสาร” อาจมาจากการตัดสินใจอย่างเฉียบขาดจาก คุณนิลวรรณ ปิ่นทอง ผู้ให้กำเนิดและประเมินสถานการณ์แล้วว่าสมควรต้องยุติ
“ฟ้าเมืองไทย” อาจเป็นความขัดแย้งในเรื่อง “สิทธิประโยชน์”
แต่กล่าวสำหรับ “สกุลไทย” เป็นการยุติทั้งๆ ที่ยังมีแฟนนานุแฟนจำนวนไม่น้อยติดตามและพร้อมให้การสนับสนุน
กระนั้น ก็อยู่ในภาวะที่จำต้อง “อำลา”
นิตยสาร “สกุลไทย” มีจุดเด่นตรงที่เป็นแหล่งรวมของงานวรรณกรรมประเภท “นวนิยาย” หรือ “เรื่องยาว” อย่างเป็นด้านหลัก
เหมือนกับ “ศรีสัปดาห์” เหมือนกับ “แสนสุข” ในกาลอดีต
ยุคหนึ่ง “สกุลไทย” อาจมีนวนิยายสำหรับนักอ่านประเภทผู้ชาย อย่างเช่นเรื่องของ “อรวรรณ” หรือแม้กระทั่งเรื่องของ อิศรา อมันตกุล
แต่ระยะหลัง “สกุลไทย” เป็นแหล่งรวมของนักเขียนสตรียอดนิยม
ที่ยังมีนักเขียนชายก็เพราะว่าเป็นยุคที่ วรุณ ฉัตรกุล ณ อยุธยา ทำหน้าที่บรรณาธิการบริหาร ที่เริ่มเปิดยุคนักเขียนสตรีก็เพราะว่า สุภัทร สวัสดิรักษ์ ได้เข้ามาทำหน้าที่บรรณาธิการบริหารและบรรณาธิการอาวุโส
กระนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา
การปิดตัวของ “สกุลไทย” อาจเป็นเหตุผลเฉพาะของเจ้าของ ประสานเข้ากับสภาพความเป็นจริงแห่งการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
สนามของวรรณกรรมถูกยึดครองโดย “คนรุ่นใหม่”
เป็นคนรุ่นใหม่อันสัมผัสได้ผ่านสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ เป็นคนรุ่นใหม่อันสัมผัสได้ผ่านสำนักพิมพ์แจ่มใส
รากฐานของพวกเขาอยู่ที่ “โซเชี่ยล ออนไลน์”
ปัจจัยของยุคสมัยอันมีผลสะเทือนจากเทคโนโลยีส่งผลให้ “สนาม” ในทางวรรณกรรมมิได้อยู่กับ “สื่อกระดาษ” ตรงกันข้าม เทไปยัง “สื่อกระจก” ด้วยความคึกคัก
ผ่าน “บล็อก” และ “พื้นที่ส่วนตัว” ของแต่ละคน
สภาพการณ์ใหม่นำไปสู่สถานการณ์ใหม่ไม่เว้นแม้แต่เศรษฐกิจ การเมือง แล้ววัฒนธรรมจะหลุดรอดได้หรือ
วรรณกรรมเป็นส่วนหนึ่งของ “วัฒนธรรม”
คนเขียนหนังสือจำเป็นต้องปรับตัว นิตยสารอันเป็นสนามและเป็นที่แสดงออกของคนเขียนหนังสือก็จำเป็นต้องปรับตัว
ปรับตัวไปตามยุคสมัย ปรับตัวให้เหมาะสม