เห็นความมั่นใจของ กลุ่มสามมิตร ที่ว่า “ถ้ากกต.ยุบกลุ่มสามมิตรจริงวันนี้ พรุ่งนี้จะตั้งกลุ่มมหามิตรขึ้นมาใหม่ได้” ก็ต้องส่งเสียงชโยโห่ร้องอย่างเต็มภาคภูมิ
อยากดูน้ำหน้าของ “กกต.” เหมือนกันว่าจะทำอย่างไร
เพราะรู้กันอยู่ว่า ที่ “กลุ่มสามมิตร” สามารถเหาะเหินเดินหาวจากสุโขทัยไปยังเลย ทะลวงผ่านนครราชสีมาไปยังอุบลราชธานีได้
ต้องมี “แบ๊ก” ดีหนุนหลังอย่างแน่นอน
ร่ำลือกันว่า การต่อสายใช้ “พลังดูด” ไม่ว่าที่นครราชสีมา ไม่ว่าที่อุบลราชธานี มีคนในเครื่องแบบนำร่องไปก่อนแล้ว “กลุ่มสามมิตร” จึงค่อยขยายผลด้วยซ้ำไป
ปรากฏการณ์ “พลังดูด” จึงคึกคัก
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับท่าทีที่มีต่อพรรคเพื่อไทยหรือแม้กระทั่งต่อว่าที่พรรคอนาคตใหม่แตกต่างราวฟ้ากับเหวกับ “กลุ่มสามมิตร”
เหมือนกับว่า “กลุ่มสามมิตร” จะทำยังไงก็ได้
จะนัดอดีตส.ส. อดีตส.ว.และผู้นำท้องถิ่นมาเลี้ยงสังสรรค์ประกาศฤทธิ์แสดงเดชผ่านคลับเฮาส์ สนามกอล์ฟ จังหวัดปทุมธานี กี่ร้อยคนก็ได้
ไม่มี “ทหาร” ไม่มี ”ตำรวจ” ไปเยี่ยมเยือน
ตรงกันข้าม พรรคเพื่อไทยแค่จะแถลงสรุปผลงาน ความสำเร็จในรอบ 4 ปีที่คสช.ทำรัฐประหารก็มีทั้งทหาร ตำรวจ มีการแจ้งความกล่าวโทษกระทั่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116
ว่าที่พรรคอนาคตใหม่ก็คุกคามไปถึงบ้านช่อง
หากถามว่าทำไม “กลุ่มสามมิตร” จึงดำรงอยู่อย่างมีอภิสิทธิ์เหนือพรรคการเมืองและกลุ่มการเมืองทุกพรรคและทุกกลุ่มที่มีอยู่
ตอบได้เลยว่า เพราะ “กลุ่มสามมิตร” เป็นกลุ่ม “มีเส้น”
จึงไม่เพียงแต่นายทหารจากกองทัพบางกองทัพจะออกมาค้ำประกันว่า การเดินสาย “พลังดูด” โดยกลุ่มสามมิตรนั้นสามารถทำได้
หากภายในรัฐบาลก็มีการขานรับอย่างคึกคัก อบอุ่น
กลายเป็นว่า รูปแบบการเดินสายของ “สามมิตรสัญจร” กับ “ครม.สัญจร” ดำเนินไปในกระสวนเดียวกันราวกับคอหอย ลูกกระเดือก
คำรามอันมาจาก “กกต.” จึงแทบไม่มีความหมาย
คำว่าติดล็อกจากประกาศคสช. ฉบับที่ 57/2557 และคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 3/2558 ตลอดจนคำสั่งหัวหน้าคสช. ฉบับที่ 53/2560
จึงครอบคลุมเพียงบางพรรคและบางกลุ่มการเมืองเท่านั้น
ประกาศและคำสั่งเหล่านี้ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการเคลื่อนไหวของ “กลุ่มสามมิตร” ได้ เพราะว่าเป้าหมายของ “กลุ่มสามมิตร” เป็นอย่างเดียวกัน
นั่นก็คือ ทำอย่างไรให้ชนะ “พรรคเพื่อไทย” ได้เท่านั้น