มาตรฐาน "สตง."

เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน

สืบเนื่องมาจากกรณีที่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรมว.กลาโหม และคณะชุดใหญ่ไปร่วมประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนสหรัฐ ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. ที่มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา

ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อนและขยายวงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในสื่อกระแสหลักและในโลกโซเชี่ยล ในเรื่อง “ความไม่เหมาะสม” ทั้งจากกรณีค่าใช้จ่ายในการเดินทางและกรณีผู้ร่วมเดินทางตามรายชื่อที่ปรากฏในเอกสารที่แชร์กันว่อนในโลกอินเตอร์เน็ต ที่มีทั้งคนใกล้ชิดและคนของบริษัทยักษ์ใหญ่

สำหรับประเด็นผู้ติดตามยังไม่ชัดว่าจริงหรือไม่จริง

แต่ที่เถียงกันไม่ออกแน่ๆ น่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายการเดินทางกว่า 20.9 ล้านบาท นี่เฉพาะค่าเดินทางล้วนๆ สำหรับการเดินทางไปประชุมไม่กี่วัน ผู้ร่วมเดินทางราวๆ 30-40 คน แต่เช่าเหมาลำเครื่องบินของการบินไทย รุ่นโบอิ้ง 747-400 ขนาดจัมโบ้เจ็ต ที่มีที่นั่งขนาดกว่า 400 ที่นั่ง

นั่นแปลว่าจะต้องมีที่นั่งเหลือว่างเปล่าไม่มีคนนั่งเกือบๆ 400 ที่นั่งเลยทีเดียว

ตรงนี้แหละที่ไม่เหมาะสม จะอ้างว่าไม่มีเครื่องบินตรงจึงต้องเหมาลำในยามที่ต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจอย่างนี้ หากเห็นแก่ชาติบ้านเมืองจริงๆ หรือยึดตามคำเรียกร้องของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เรียกร้องให้ข้าราชการที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศให้บินในชั้นประหยัด ก็คงต้องบินในเที่ยวบินปกติแล้วไปต่อเครื่องที่ญี่ปุ่น อาจจะลำบากและเสียเวลาหน่อย

ตรงนี้แหละที่คนเขาเห็นว่าฟุ่มเฟือยไม่เหมาะสม

แต่แปลกใจที่ “นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส” ผู้ว่าฯ สตง. รีบออกมาการันตีความบริสุทธิ์ โดยอ้างตรรกะแปลกๆ เงินค่าเช่าเหมาลำ เป็นการ “ย้ายจาก” กระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวา ซึ่งเป็นตรรกะเดียวกับพล.อ.ประวิตรใช้อรรถาธิบายต่อสังคม ซึ่งเป็นตรรกะที่ไม่ถูกต้อง

เนื่องจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ไม่ใช่หน่วยงานราชการและไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่เป็นบริษัทของรัฐที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ 51% ที่เหลือ 49% กระจายให้กับผู้ถือหุ้นทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ

ฉะนั้นรายได้การบินไทยก็เป็นรายได้ของผู้ถือหุ้นที่มีทั้งกระทรวงการคลัง ที่ต้องนำส่งเข้าคลังตามสัดส่วนหุ้น ที่เหลือก็จะเข้ากระเป๋าและผู้ถือหุ้นรายย่อยที่เป็นคนไทยทั่วๆ ไป และนักลงทุนต่างชาติ จึงไม่ใช่เป็นการย้ายจากกระเป๋าซ้ายไปกระเป๋าขวาอย่างแน่นอน

แม้จะไม่ทุจริตแต่ก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง