เห็นข้อเสนอว่าด้วย “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” 3 ข้อ 3 ประเด็น จาก นายถาวร เสนเนียม ในฐานะแกนนำกปปส.ต่อคสช.และรัฐบาลแล้ว

น่าเห็นใจ

นั่นก็คือ 1 การทำพรรคการเมืองให้เป็นของประชาชนโดยแท้จริง นั่นก็คือ 1 การปฏิรูปตำรวจต้องเป็นการปฏิรูปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ปฏิรูปเพื่อผลประโยชน์ของใคร

นั่นก็คือ 1 การปฏิรูปการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น

ทั้งๆ ที่กปปส.เคยเสนอ “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 เวลาผ่านมา 3 ปีเศษก็ยังหยิบยกขึ้นมาเสนออีก

แสดงว่า “ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ยังไม่ไปไหน

ในเมื่อ 3 ปีเศษแล้วยังไม่ปรากฏอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาเพียง 1 ปีที่เหลือจึงเป็นไปได้น้อยมากที่ 3 ข้อ 3 ประเด็นอันมาจาก นายถาวร เสนเนียม จะเป็นจริงได้

หากเป็นเช่นนั้น บทสรุปของ นายถาวร เสนเนียม ที่ว่า

“หากเลือกตั้งไปโดยที่ยังไม่มีการปฏิรูปให้เสร็จก่อนเลือกตั้ง ก็คาดการณ์ได้ว่าการเมืองจะกลับเข้าสู่วงจรอุบาทว์ ทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม”

นั่นก็คือ

“จะเกิดเผด็จการรัฐสภาโดยเสียงข้างมาก จะละเลยหลักนิติรัฐ นิติธรรม โดยอ้างว่าเขาได้รับเสียงสวรรค์มาจากประชาชน มีสิทธิทำทุกเรื่องเพราะผ่านฉันทามติมาแล้วเหมือนที่เคยเป็นมา”

บทสรุปนี้สะท้อนความคิด ความเชื่ออันลึกซึ้ง ฝังใจ

เป็นความเชื่อที่ว่า ในที่สุด รัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ก็จะก้าวตามรอยความล้มเหลวเหมือนกับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549

นั่นก็คือ “จะเสียของ สูญเปล่า เสียโอกาส”

ความหมาย 1 ที่เห็นอย่างเป็นรูปธรรมนั่นก็คือ ชัยชนะของพรรคพลังประชาชนจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2550

และชัยชนะของพรรคเพื่อไทยจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554

ความหมายอย่างตรงตัวที่สุดก็คือ ชัยชนะของพรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย คือ ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของพรรคประชาธิปัตย์

ตรงนี้ต่างหากคือความหมายของคำว่า “เสียของ”

เมื่อประมวลเอาข้อเสนอจาก นายถาวร เสนเนียม คั้นกลั่นออกมาประสานกับสภาพความเป็นจริงทางการเมืองในห้วง 1 ทศวรรษ

ก็อยู่ที่คำว่า “แพ้เลือกตั้ง”

แทนที่จะกลับไปปรับปรุงพรรค ยกระดับบุคลากรภายในของตน กลับหยิบยืมมือ “อำนาจพิเศษ” มากระทำนอกกฎเกณฑ์แห่งระบอบประชาธิปไตย

เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้ตน “ชนะเลือกตั้ง” เท่านั้นเอง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน