คอลัมน์ ใบตองแห้ง

สู้รบไม่มีตรงกลาง – พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรี ครบ 3 พรรคใหญ่ ไม่ละเว้นใครให้กลับตัวกลับใจโหวตสวน

ซึ่งถือว่ามาถูกทาง เพราะเกือบ 2 ปีหลังเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย กลายร่างเป็นพรรคประยุทธ์ 1-2-3 หมดแล้ว

ไม่ใช่ 3 พรรคไม่มีความแตกต่าง ไม่ขัดแย้งกัน แต่การต่อสู้แหลมคมทำให้กลุ่มผลประโยชน์การเมืองไม่ว่าพรรคไหนก็ตาม จำต้องผนึกเหนียวแน่นค้ำโครงสร้างอำนาจอนุรักษนิยม ไม่กล้าหือกับรัฐพันลึกที่กำกับอยู่เบื้องหลังประยุทธ์

โดยมีศัตรูร่วมกัน คือม็อบคนรุ่นใหม่ พลังแห่งความเปลี่ยนแปลง ที่ไม่เพียงท้าทายอำนาจอนุรักษนิยม แต่ยังเป็นภัยต่อการเมืองอุปถัมภ์ ระบบหาเสียงเก่าๆ ใช้เครือข่ายหัวคะแนนคอนเน็กชั่น ไปสู่การเลือกพรรคด้วยอุดมการณ์ นโยบาย เหมือนที่เคยเลือกอนาคตใหม่

พรรคภูมิใจไทยที่ 2 ปีก่อนยังปากปราศรัย มีน้ำใจกับฝ่ายประชาธิปไตย พรรคประชาธิปัตย์ที่อภิสิทธิ์ประกาศไม่เอาประยุทธ์ จึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แสดงท่าทีหนุนสุดตัว ทั้งประยุทธ์และอำนาจอนุรักษ์ จนอนุทินกลายเป็นปรปักษ์เบอร์ต้นๆ ติดอันดับ # ของคนรุ่นใหม่ ปชป.ก็จะไล่เอาผิดคนทำมีมล้อ “เทพเจ้าชวนกดกาแฟ”

สภาพอย่างนี้ขัดแย้งแค่ไหนก็ไม่แตกจากรัฐบาล ต้องสุมหัวท้ายจมไปด้วยกัน เช่น พปชร.จะส่งเลือกซ่อม ส.ส.เมืองคอน ปชป.โวยวายยังไงถึงแพ้ก็ไม่กล้าถอนตัว

การเมืองแหลมคมบนท้องถนนก็ทำให้ฝ่ายค้านเจองานยากเช่นกัน พรรคเพื่อไทยไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเจอการเมือง Disrupt อย่างนี้ จนวางตัวไม่ถูก เพราะหวังแค่แก้กติกาให้เป็นประชาธิปไตยระดับหนึ่งแล้วขอใช้ฝีมือบริหาร ไม่คาดคิดว่าม็อบคนรุ่นใหม่จะไปไกล “ทะลุเพดาน” แม้กระทั่งพรรคก้าวไกลก็เจอ ส.ส.แหกมติ ไม่ลงชื่อแก้ 112 เช่นเดียวกับที่พรรคอนาคตใหม่เคยเจอครั้งโหวตร่าง พ.ร.บ.โอนกำลังพลฯ

คนรุ่นใหม่ไปถึงไหนแล้ว แม้พรรคการเมืองในสภาไม่สามารถไปถึง อย่างน้อยก็ต้องไต่ระดับขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้นไม่มีที่ยืน

พรรคฝ่ายค้านจึงกัดฟันยื่นญัตติอภิปรายประยุทธ์ “แอบอ้างสถาบัน“ จนถูกตีกลับ รับไปแก้ถ้อยคำ ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะแก้แค่ไหน แก้แบบไร้ศักดิ์ศรีก็มีหวัง “ทัวร์ลง”

ภาพใหญ่ของการเมืองวันนี้ ออกนอกสภาไปเป็นการปะทะระหว่างอำนาจอนุรักษ์ที่ยืนหยัดกับประยุทธ์ และรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ปฏิรูปแม้แต่น้อย กับพลังประชาธิปไตยที่นำคนรุ่นใหม่ Gen Y Gen Z แหลมคมหาญกล้าท้าทายจนปราบไม่ลง เป็นฝ่ายดันก้นพรรคฝ่ายค้านเสียเอง ขณะที่พรรครัฐบาลก็ผนึกกันแน่นสวามิภักดิ์ ทั้งด้วยอุดมการณ์อนุรักษ์ และด้วยความเป็นกลุ่มผลประโยชน์ไร้อุดมการณ์ทางการเมือง

โดยไม่มีที่ให้ใครยืนตรงกลาง ถดๆ ถอยๆ ไม่งั้นก็จบ กลางคือกลวง บางพรรคที่อ้างว่ากล้าจึงหายต๋อม แพ้หมอวรงค์ในซูเปอร์โพล

สถานการณ์อย่างนี้ไม่ได้บอกว่าดีหรอก แต่เป็นไฟต์บังคับ เมื่อไม่สามารถ compromise ฝ่ายหนึ่งกุมอำนาจรัฐไว้หมด รัฐราชการทหารตำรวจ กระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ ส.ว.แต่งตั้ง อีกฝ่ายคือ “แผ่นดินไหวทางความคิด” ในเบื้องล่าง ซึ่งดูเหมือนจะเสียเปรียบทุกอย่าง แต่ปราบไม่ลง และจะยิ่งขยายตัวตามความเปลี่ยนแปลง “เวลาอยู่ข้างเรา” ความเสื่อมของอำนาจ ความไร้ฝีมือของรัฐบาล ที่ทำให้ปัญหาต่างๆ สุมทบเป็นกบต้ม

ถ้าแบ่งแยกประชาชนทุกวันนี้ ตามลำดับ พวกอนุรักษ์สุดโต่งน้อยที่สุด คะแนนเสียงพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่มาจากระบบอุปถัมภ์ ขณะที่พลังคนรุ่นใหม่ยิ่งมายิ่งร้อนแรง ยกตัวอย่าง คะแนนเสียง อบจ.คณะก้าวหน้า ถูกด่าถูกไล่ “หนักแผ่นดิน” ยังได้มา 2.6 ล้านใน 42 จังหวัด ยังไม่นับว่าบางจังหวัดคือแพ้เพื่อไทย

เพียงแต่เสียงข้างมากจริงๆ ในประเทศนี้ มัวสนใจลุงพล ไอ้ไข่ ไอ้ส้มฉุน ฯลฯ เท่านั้นเอง

ความพยายามบดขยี้ท่ามกลางโควิด ทั้งออกหมายเรียกหมายจับ ระดมตำรวจเป็นร้อยๆ ใช้กำลังจับคนเขียนป้าย ส่งอัยการสั่งฟ้อง ฯลฯ คือพยายาม “ปราบ” เพื่อ “ปราม” คิดว่าดำเนินคดีแกนนำแล้วคนที่เหลือจะกลัว ซึ่งไม่ได้ผล เดี๋ยวอาจทยอยโดน 112 ถึงร้อยคน

ในขณะที่รัฐสร้างปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโควิด วัคซีน เศรษฐกิจ เยียวยา ฝ่าย “ราษฎร” ก็ขยายงานมวลชนสัมพันธ์ ตั้งแต่วังสะพุง จะนะ #saveบางกลอย ซึ่งนักศึกษาถูกจับถูกผลักล้มเพื่อกลุ่มชาติพันธุ์ รุ้ง ทราย เอาของไปบริจาคนักโทษหญิงเรือนจำไม่ให้เข้า แบบเดียวกับ WeVo ช่วยเกษตรกรขายกุ้ง ถูกตำรวจตะลุมบอน

สถานการณ์เช่นนี้จะ “เหลา” ให้เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้นๆ ทั้งในและนอกสภา ในทุกปริมณฑล ฝ่ายอำนาจ ฝ่ายห้อยโหนอำนาจ หาประโยชน์กับอำนาจ ก็จะผนึกกันยิ่งขึ้น ฝ่ายค้านฝ่ายประชาธิปไตย ใครพะวักพะวนก็ไม่มีที่ยืน หมดอนาคต ไม่มีคำว่ากลาง มีแต่กลวง

ฟังเหมือนฝ่ายประชาธิปไตยเสียเปรียบ แต่ก็ปราบไม่ลง ขณะที่ฝ่ายอำนาจมีจุดอ่อนทั้งความชอบธรรม ศีลธรรม การบริหารผิดพลาดล้มเหลว

ย้ำอีกที ภาพอย่างนี้ไม่ได้บอกว่าดี แต่เป็นไฟต์บังคับ ถ้ายังไม่สามารถหาทางออกได้

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน