คอลัมน์ ใบตองแห้ง

รัฐพล่านเฉยไม่ได้ – 2563 ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม 2564 การอภิปรายไม่ไว้วางใจในรัฐสภาก็ไม่เหมือนเดิม

ม็อบคนรุ่นใหม่ทะลุเพดาน รังสิมันต์ โรม พรรคก้าวไกล ก็ทะลวงเพดาน แม้ถูกห้ามพูด พูดได้ครึ่งเดียว จนต้องอภิปรายนอกสภาอีกครั้ง ก็สั่นสะเทือนเป็น “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” แห่งวัน

รัฐพันลึกคงโมโหโกรธา กระทืบเท้า อยู่เฉยไม่ได้ ต้องใช้อำนาจจัดการเสี้ยนหนามก้าวหน้าก้าวไกล

แต่ในขณะเดียวกัน การอภิปรายของฝ่ายค้าน ทั้งเพื่อไทยก้าวไกลและพรรคอื่น ครั้งนี้ทำงานร่วมกันเป็นทีม สามารถฮุกหมัดเปรี้ยงกระโดงคางรัฐมนตรีหลายคน ซึ่งแม้จะลากถูกันผ่าน ก็ไม่เคลียร์ความข้องใจของประชาชน

รัฐบาลจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข อยู่เฉยไม่ได้ ทั้งปรับ ครม.บางตำแหน่ง สอบสวนเอาผิด เปลี่ยนแปลงโยกย้าย ในประเด็นหลักๆ ที่ประชาชนเห็นว่าฝ่ายค้านมีน้ำหนัก

ยกตัวอย่าง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยอภิปรายทุจริตถุงมือยาง จุรินทร์มือไม้สั่น อ้างว่าตำแหน่งรองนายกฯ รัฐมนตรีพาณิชย์ เป็นแค่บุรุษไปรษณีย์ โยน ครม.ตั้งบอร์ด อคส. ทั้งที่ถูกแฉว่าประธานบอร์ดคืออดีตผู้ช่วย ส.ส. คนสนิทอดีตหัวหน้าพรรค พี่ชายก็เป็นที่ปรึกษาจุรินทร์ ยังพยายามขว้างงู

ถึงแม้ดูประวัติ อดีตรักษาการผู้อำนวยการ อคส. มาจากตำรวจปราบม็อบยุค คสช. ไม่ใช่สายตรง ปชป. ทั้งประยุทธ์ จุรินทร์ก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะย้ายอดีต ผอ.ตั้งแต่เดือนกันยา 63 แต่การสอบสวนไปไม่ถึงไหน ไม่ปลดประธานบอร์ด เงิน 2 พันล้านก็ไม่รีบตาม

รมช.มท.ก็หนัก นิพนธ์โดนแฉว่าใช้ข้อมูลภายในกว้านซื้อที่ดินก่อนเปลี่ยนผังเมืองเป็นนิคมอุตสาหกรรมจะนะ อาศัยอำนาจคุมกรมที่ดินผลักดันสำรวจออกโฉนด นิพนธ์ชี้แจงแค่ออกเอกสารสิทธิถูกต้อง ย้อนว่า “ประเสริฐ ก้าวไกล” ใช้เอกสารปลอม แต่อีกฝ่ายยืนยันว่าของจริงและไม่ใช่ของเก่า

“ครูตั๊น” ที่ภริยาเป็นเจ้าของคำขวัญ “โตไปไม่โกง” ก็โดนยุทธพงศ์ จรัสเสถียร แฉกระบวนการดันคนสนิท อดีตเลขาฯ สโมสรฟุตบอล เป็นเลขาฯ สกสค. คุมเงินสวัสดิการครูเป็นหมื่นๆ ล้าน โดยมีการแก้ไขคุณสมบัติ ให้ได้เป็นทีละขั้น แต่ท่านรัฐมนตรีนกหวีด (ที่เพิ่งใจดีขึ้นค่าอาหารกลางวัน 1 บาท) ก็โยนเป็นเรื่องของปลัด ไม่รู้ไม่เห็นการตั้งคนสนิทตัวเอง

ประเด็นที่ฝ่ายค้านอภิปราย หลายเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มารวมให้เป็นระบบ แล้วจี้ถาม เช่นคดีบอส อยู่วิทยาที่แฉว่ามีการย้ายนายตำรวจตงฉินไม่ให้กีดขวางถึง 2 ครั้ง รวมทั้งจี้ถามว่าเมื่อไหร่ประยุทธ์จะเอาผิดคนเกี่ยวข้องตามผลสอบมหาเทพของ วิชา มหาคุณ เพราะผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรรมาธิการ สนช.เป็นญาติประยุทธ์ประวิตรทั้งนั้น

อภิปรายวัคซีน ก็เป็นการรวบรวมประเด็นมาตั้งไว้เป็นชนวน ซึ่งจะร้อนขึ้นๆ เมื่อเวลาผ่านไป เช่น ประชาชนจะยิ่งร้อนใจเมื่อประเทศอื่นได้ฉีดแล้ว เรายังต้องรอล็อตใหญ่เดือนมิถุนายน ส่วนอีก 35 ล้านโดส สธ.ก็ยังตอบไม่ได้ว่ามาเมื่อไหร่

หนักที่สุดในทางปฏิบัติ คือรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งคมนาคมปัดไปให้มหาดไทย กทม. ยืนยันไม่เห็นด้วยกับการคิดราคา 158 บาท ราคาของ รฟม.ต่ำกว่ามาก

รถไฟฟ้ากำลังมัดคอชกประชาชน ถ้าไม่ยอมจ่าย 104 บาท (ลดชั่วคราว) ก็ต้องยอมให้ต่อสัญญา BTS ถึงชาติหน้า จึงจะลดเหลือ 65 บาท รัฐบาลประยุทธ์ผูกเงื่อนไว้เองจากคำสั่ง คสช. ฉะนั้นต้องแก้ไขให้ได้

การอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านยกระดับสถานการณ์ ทำให้รัฐบาลอยู่เฉยไม่ได้ เอาแต่ตอบว่าตัวเองเป็นคนดี มีโมโหโดนหัวเราะเยาะ ฯลฯ เท่านั้นไม่ได้ ต้องปรับอำนาจบริหารจะดื้อด้านไม่ปรับ ครม.เลยหรือไร

การอภิปรายของรังสิมันต์ โรม ก็ยกระดับสถานการณ์ให้รัฐพันลึกเต้นเร่า โกรธจัด

ในเชิงกลยุทธ์ การ “อยู่เฉย” คือความได้เปรียบของผู้กุมอำนาจไว้ได้หมด เหมือนปลายปีที่ผ่านมา ม็อบคนรุ่นใหม่ไปสุดเพดาน แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะอำนาจเข้มแข็ง ใหญ่โตทั้งทหารตำรวจรัฐราชการกระบวนการยุติธรรม

ม็อบจึงตกอยู่ในอาการเซ็ง บ้างก็ท้อ แม้ไม่เปลี่ยนความคิด ไม่หันไปสวามิภักดิ์ แต่อำนาจอนุรักษ์ทุกยุคต้องการเช่นนั้น คืออยากให้ยอมจำนน แม้โกรธ ไม่พอใจ ก็จำต้องยอมรับทำอะไรไม่ได้

สถานการณ์ “นิ่ง” จึงทำให้อำนาจได้เปรียบ ยิ่งอยู่ในช่วงโควิด จิตแพทย์ทั้งขู่ทั้งปลอบให้คนเชื่อฟัง ยิ่งถ้าสภาพแวดล้อมเช่นเศรษฐกิจดีขึ้น ผู้กุมอำนาจก็ไม่ต้องปรับตัวขอแค่ประคองตัว

แต่ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกอย่างไม่นิ่ง การเมืองในสภากับนอกสภาเขย่าคู่ขนานกัน รัฐบาลมีแผลเหวอะหวะ รังสิมันต์ทะลวงซ้ำ อำนาจไม่สามารถอยู่เฉยได้

ยุทธศาสตร์ราษฎร ที่จริงก็คือท้าทาย พร้อมเสี่ยงไม่ว่าจะเกิดอะไร ก็ดีกว่าปล่อยให้รวบอำนาจอยู่อย่างนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน