คอลัมน์ สดจากสนามข่าว
ทำเอาหลอนกันไปทั้งเมืองสระบุรี หลังพบศพเสี่ยเจ้าของร้านรับเหมางานกระจก อะลูมิเนียม และต่อเติมบ้าน ถูกฆ่าโบกปูนหมกคาบ้านพักกลางเมือง
คดีสยองขวัญคราวนี้เกิดขึ้นในวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา เมื่อร.ต.อ.พิภาค ม่วงช้าง รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองสระบุรี รับแจ้งจากนายทองสุข พงษ์สวาด ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 9 บ้านหนองคู ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี ว่าพบสิ่งต้องสงสัยว่าเป็นศพถูกโบกทับด้วยปูนอยู่ในบ้านพักหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 9 บ้านหนองคู
พล.ต.ต.ชยานนท์ มีสติ ผบก.ภ.จว.สระบุรี รีบนำกำลังรุดไปตรวจสอบ พร้อมพ.ต.อ.กิตติ สุขสมภักดิ์ และพ.ต.อ.ศุภากรณ์ จันทาบุตร รอง ผบก.ภ.จว.สระบุรี, พ.ต.อ.เชษฐชัย เชษศิริ ผกก.สภ.เมืองสระบุรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่พฐ. แพทย์ ร.พ.สระบุรี
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวตั้งอยู่ริมถนนในชุมชนภายในบ้านพบกองปูนซีเมนต์เททับลักษณะคล้ายร่างคนหลังตรวจสอบสภาพเบื้องต้นจึงอนุญาตให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิทุบปูนออกก็พบศพผู้ชายสภาพแห้งเปื่อยเห็นกระดูกไม่สามารถระบุตัวตนได้
สภาพไม่สวมเสื้อนุ่งกางเกงยีนส์คาดเข็มขัดหนังสีน้ำตาลมีคราบเลือดแห้งกรังและมีผ้านวมคลุมทับไว้หลายชั้น
ทันทีที่เห็นศพนางลำเพียรพรหมเมืองเก่าอายุ 74 ปี ก็ร่ำไห้โฮยืนยันว่าคือ นายไพโรจน์ พรหมเมืองเก่า อายุ 55 ปี ลูกชาย ที่เป็นเจ้าของบ้าน และหายตัวไปนานกว่า 1 เดือนแล้ว
นางลำเพียรให้การว่านายไพโรจน์ลูกชายอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมางานกระจกอะลูมิเนียมงานเหล็กและต่อเติมปรับปรุงบ้าน
โดยนายไพโรจน์แต่งงานมีครอบครัวแล้วแต่ภรรยาอาศัยอยู่ที่บ้านพักในอ.แก่งคอย ขณะที่เจ้าตัวก็เป็นหนุ่มเจ้าชู้มีความสัมพันธ์กับสาวชาวลาวอีกราย
ก่อนหน้าที่จะหายตัวไปมีผู้พบเห็นครั้งสุดท้ายประมาณวันที่ 22 เม.ย. แต่ไม่มีใครติดใจสงสัย เพราะอุปนิสัยนายไพโรจน์มักหายหน้าหายตาไปนานๆ โดยไม่ได้บอกอะไรกับใครไว้
แม้แต่แม่ยังคิดว่าลูกชายไปหาเมียน้อยที่ประเทศลาว
กระทั่งเช้าที่ผ่านมานางลำเพียรเรียกให้นายคงฤทธิ์หวาดด้วงดีอายุ 28 ปี หลานชายไปเปิดบ้านเพื่อทำความสะอาด เพราะรกรุกรังไม่มีใครดูแลมานานนับเดือน
จนพบกองปูนซีเมนต์ดังกล่าวและมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปทั่วเลยรีบเผ่นออกจากบ้านไปแจ้งผู้ใหญ่ทองสุขให้มาช่วยตรวจสอบจนแน่ชัดว่าต้องมีศพถูกหมกอยู่ใต้ปูนที่โบกทับอยู่แน่นอนจึงรีบแจ้งตำรวจดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชิญตัวญาติพี่น้องและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดไปสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งที่สภ.เมืองสระบุรี
พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภาค 1 พร้อมพล.ต.ต.ประสิทธิ์ วัฒนชัย และพล.ต.ต.สุภธีร์ บุญครอง รอง ผบช.ภาค 1 รุดไปสอบปากคำ
เพราะตำรวจนักสืบมือดีของจังหวัดพุ่งเป้าไปที่นายอานุภาพหรืออาร์มกัญญาคำอายุ 29 เป็นหลานผู้ตายอีกคน เพราะจับกลิ่นพิรุธได้ชัดเจน
หลังแกล้งปล่อยให้ตายใจก่อนใช้ชั้นเชิงการสอบสวนระดับสูงเค้นถาม
จนสุดท้ายก็ยอมคายความลับหมดไส้หมดพุง
นายอาร์มสารภาพว่าโกรธแค้นที่ผู้ตายที่เป็นลุงแท้ๆแต่กลับเบี้ยวค่าแรงรับเหมาต่อเติมบ้านเป็นจำนวน 3 หมื่นบาท
โดยเมื่อเดือนพ.ย. 2563 ร่วมกับนายไพโรจน์ไปรับงานต่อเติมบ้านลูกค้าหลังหนึ่ง ทำงานเสร็จส่งมอบงานให้ลูกค้าตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้เงินค่าแรงสักบาท
นายอาร์มอ้างว่าจำเป็นต้องใช้เงินเพราะมีกำหนดต้องแต่งงานในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
แต่ทวงถามมาไม่รู้กี่รอบผู้ตายก็บ่ายเบี่ยงต่างๆ นานาทำให้ต้องนำโฉนดที่ดินไปจำนองได้เงินมาจัดงานแต่งเป็นจำนวน 4 หมื่นบาท
ล่าสุดหลังจัดงานเสร็จก็ไปทวงถามอีกครั้งแต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมจ่ายให้จึงโกรธมากที่ลุงแท้ๆมาเบี้ยวเงินค่าแรงขณะที่ตัวเองไปเที่ยวลาวและนำเงินไปทำบุญที่ลาวอย่างสบายใจ
เช้าวันที่ 22 เม.ย. ประมาณ 06.30 น. ไปที่บ้านหลังดังกล่าวด้วยความแค้น ก่อนฉวยท่อนไม้ที่เห็นวางอยู่หน้าบ้านเข้าไปกระหน่ำฟาดนายไพโรจน์ไม่ยั้งจนจนขาดใจตายคาที่
ก่อนไปซื้อปูนซีเมนต์มาผสมเทโบกทับแล้วปิดล็อกบ้านไว้กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วย
แต่สุดท้ายก็หนีกรรมที่ทำไว้ไม่พ้นจนมุมตำรวจหลังพบศพเพียงไม่กี่ชั่วโมง
เสรี สุพรรณ์นอก/เรื่อง/ภาพ