เมืองไทย 25 น.

ทวี มีเงิน

 

ในการประชุมระดับผู้นำ เอซีดี เมื่อเร็วๆ นี้ “แจ๊ก หม่า” เจ้าของ “อาลีบาบา ดอตคอม” แย่งซีนผู้นำประเทศต่างๆ อย่างสิ้นเชิง บุคลิกเป็นกันเองประวัติโดดเด่น จึงเป็น “พระเอก” ของคนไทยได้ไม่ยาก

แต่ภายใต้ความชื่นชมของคนไทยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี” ที่หวังจะพึ่งเนื้อนาบุญเมื่อแจ๊ก หม่าบรรลุข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลไทยผลักดันเอสเอ็มอี ไปต่างประเทศ ถึงกับมีการตั้งคณะกรรมการอีคอมเมิร์ซร่วมกัน

อันที่จริง “อาลีบาบา” ไม่ใช่เพิ่งจะบุกไทย แต่วางแผนเป็นขั้นเป็นตอนมาระยะหนึ่งแล้ว โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และภูมิภาค 2 แห่งพัฒนาบุคลากรด้านอีคอมเมิร์ซ โดยอาลีบาบาส่งเจ้าหน้าที่มาอบรมอาจารย์ และนักศึกษา

ขณะที่รัฐบาลหวังจะใช้ “แพล็ตฟอร์ม” ของอาลีบาบา เป็นช่องทางจำหน่ายสินค้าเอสเอ็มอีไทยไปทั่วโลก ยิ่ง “แจ๊ก หม่า” สนิทสนมกับ “บิ๊กตู่” เป็นอย่างดี ทุกอย่างน่าจะราบรื่น แต่งานนี้กลายเป็นศึก 3 เส้า เมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย ระหว่าง อาลีบาบา ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซของไทย รายหลังที่ต้องโดนหางเลข

แม้ว่าแจ๊ก หม่าจะย้ำตลอดว่าเข้ามาเมืองไทย ไม่ได้เข้ามาทำมาหากินกับไทย แต่ต้องการเข้ามาช่วยไทยสร้างความแข็งแกร่งด้าน “อีคอมเมิร์ซ” เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าขายผ่าน “ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์” ในอาเซียน

อย่าเพิ่งเคลิ้มต้องไม่ลืมว่า อาลีบาบา ยักษ์ใหญ่ อีคอมเมิร์ซ ระดับโลกเข้ามาไม่ต้องทำอะไรมากแค่จาม ผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยก็เป็นหวัดกันระนาว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในระยะแรกๆ คนที่ได้ประโยชน์เต็มๆ คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่อาศัยแพล็ตฟอร์มอาลีบาบา เป็นท่อในการบุกตลาดจีน ที่กว้างใหญ่ไพศาล แต่หากปล่อยให้ยักษ์ใหญ่ผูกขาดไม่เผื่อทางเลือกอื่น ระยะยาวย่อมไม่เป็นผลดีกับเอสเอ็มอีไทยแน่ๆ

อย่าลืมอาลีบาบาเป็นองค์กรธุรกิจแสวงหากำไรไม่ใช่องค์กรการกุศล

ตรงนี้ รัฐบาลจะหาทางถ่วงดุลระหว่างอาลีบาบาและอีคอมเมิร์ซไทยอย่างไร ตีกรอบให้ชัดอะไรที่อาลีบาบาทำได้หรือทำไม่ได้ทำได้แค่ไหน เพื่อเปิดช่องให้อีคอมเมิร์ซไทยพัฒนาเติบโตในอนาคต ขณะเดียวกันผู้ประกอบการเองก็ต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งเพื่อยืนหยัดรับมือกับยักษ์ใหญ่ได้

งานนี้ทุกฝ่ายต้องวิน-วินเกม

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน