“รุก กลางกระดาน”

น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินคดีกับแกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้ง 8 คน ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งคสช. เรื่องการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป

และความผิดตามมาตรา 116 ซึ่งระบุว่าเป็นการกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธี อื่นใด อันไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือไม่ใช่ เพื่อแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจ หรือใช้กำลังประทุษร้าย

เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาด ที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร หรือ

เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี

ซึ่งไม่เข้าใจว่ามันบานปลายเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นได้อย่างไร เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยกระทำ ก็คือการนัดแถลงผลงาน 4 ปีของคสช.เท่านั้น

มันเกิดความหวั่นไหว เปราะบาง หรือเสียดแทงจิตใจได้ถึงขนาดไหน ถึงต้อง ตั้งข้อหาหนักเช่นนี้

เพราะอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ก็ยังมั่นใจ ในศักยภาพของคสช. ถึงขั้นระบุว่าถ้า ไม่ดีจริง คงอยู่ไม่ได้มา 4 ปี

ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ก็ควรอย่างยิ่งที่ จะสนับสนุนให้ทุกคนได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงาน สังคมจะได้รู้กันชัดๆ ไปเลยว่าคสช.มีคุณูปการกันถึงขั้นไหน

การปิดปากโดยการใช้ข้อกฎหมาย ยิ่งทำให้สังคมไม่ได้รับรู้ข้อเท็จจริง ซ้ำยังทำให้เกิดความสงสัยเรื่องการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม

ซึ่งไม่ใช่ผลดีต่อคสช.แม้แต่น้อย

รวมถึงการวิเคราะห์อีกแนวทางว่า เป็นความพยายามที่จะนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทย ตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค

ตัดคู่แข่งในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

ก็พอรับฟังได้ แต่ก็เป็นเพียงการคาดการณ์ที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงยืนยัน

หนำซ้ำหากคสช.มีความทรงจำที่ดีพอ ก็น่าจะจำได้ว่าหลังจากยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน แล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร

ยิ่งมาถึงยุคนี้ด้วยแล้วการยึดโยงกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งย่อมลดลง

ที่สำคัญคสช.ควรรู้ได้แล้วว่าไม่ได้เผชิญหน้ากับพรรคเพื่อไทย

แต่เผชิญหน้าอยู่กับประชาชน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน