“รุก กลางกระดาน”
ดูท่าการเมืองไทยจะต้องเข้าสู่การเลือกตั้งอย่างจริงแท้แน่นอน โดยไม่มีใครจะยื้อยุดไว้ได้
เพราะสถานการณ์ต่างๆ ก็ดูจะเป็นใจ ทั้งพ.ร.ป.เลือกตั้งส.ส.-ส.ว. ที่ส่งตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ
ก็พิจารณาเรียบร้อยชัดเจนแล้วว่าไม่ขัด
รัฐบาลเองก็ปูพรมประชุมครม.สัญจร อดีตส.ส. นักการเมือง ก็มาเช็กชื่อกันพึ่บพั่บ แถมยังมีกลุ่มเพื่อนคนนั้นคนนี้ มาคอยให้กำลังใจ
งบประมาณรายจ่ายประจำปี 3 ล้านล้าน ก็ผ่านสนช. ชนิดที่ไม่มีเสียงคัดค้าน มีเพียงแค่เสียงกรน
แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ยังตะโกนมาจากบนรถไฟให้ประชาชนอย่าลืมไปเลือกตั้ง
อีกทั้งกระแสสังคมไม่ว่าจะเป็นคนหาเช้ากินค่ำหรือนักธุรกิจ ก็พากันเรียกร้องให้กำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน
ไม่เช่นนั้นจะมีผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมด ก็ดูจะไม่มีอะไรจะมาฉุดรั้งไม่ให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้
แต่สิ่งที่น่ากังวลคือเมื่อประเทศเดินหน้าสู่การเลือกตั้งแล้ว ทำไมบรรยากาศการ เมืองไทยจึงยังไม่ผ่อนคลาย
ไม่ว่าจะเป็นการไม่ปลดล็อกให้พรรค การเมืองทำกิจกรรม จนต้องมองท่านนายกฯ เดินสายพบปะประชาชน เอาเงินไปให้โครงการต่างๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว
หรือกระทั่งการจับกุมดำเนินคดีกับคนที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้ง รวมทั้งคนที่มีความเห็นสวนทางกับรัฐบาล
แถมยังดูจะเข้มข้นมากขึ้นอีก อย่างกรณีมีนโยบายการเมืองเข้มงวด จับกุมหนุ่มเขมร ที่ทำเพจกล่าวหาว่าพล.อ.ประยุทธ์ไล่ให้ คนไปเติมน้ำ แทนน้ำมัน เพื่อแก้ปัญหาน้ำมันแพง
ทั้งที่คนที่มีสติสัมปชัญญะทั่วไป อ่านดูก็รู้ว่าไม่มีใครบ้าขาดสติ ไปให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว
หรือกระทั่งไปล่าเพจเฟซบุ๊กที่ลงข่าวการซื้อดาวเทียมทหาร โดยกล่าวหาว่าบิดเบือน
จริงอยู่ การดำเนินคดีทางกฎหมายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ก็มีทางเลือกที่จะสร้างบรรยากาศให้ผ่อนคลายลงได้
ที่สำคัญคือการเป็นรัฐบาลใช้ภาษีประชาชน เป็นรายได้ค่าใช้จ่าย ย่อมต้องเปิดโอกาสให้สังคมตั้งคำถาม
แสดงตัวให้เห็น ว่าพร้อมจะเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้ง