คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ถือเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างยิ่ง
ในขณะที่ประเทศไทยต้องรับศึกหนักจากข้อวิพากษ์วิจารณ์จากต่างชาติ
ทั้งบทวิเคราะห์ของวอชิงตันโพสต์ ที่ยกให้ไทยเป็นประเทศลำดับ 2 รองจากบุรุนดี ประเทศด้อยพัฒนาในแอฟริกา ที่มีโอกาสเกิดรัฐประหารซ้ำอีก
แถมยังมีโอกาสสำเร็จสูงเสียด้วย
ขณะที่ฟรีดอมเฮาส์ องค์กรที่รายงานเรื่องเสรีภาพสื่อและเสรีภาพอินเตอร์เน็ต จัดลำดับไทยให้อยู่ในกลุ่มไม่เสรี
แต่ยังไม่ทันที่จะชี้แจงแถลงไขให้เข้าใจตรงกัน
คนระดับคีย์แมนของรัฐบาล และคสช. อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกฯและรมว.กลาโหม ออกมาระบุด้วยตัวเอง ถูกโพสต์ขู่ในโซเชี่ยลว่าตกเป็นเป้าจะถูกลอบสังหาร
แถมยังมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้จับกุมผู้โพสต์ และนำตัวไปสอบสวนแล้วด้วย
ตามด้วยคำยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ที่ระบุว่า มีคนที่ละเมิดสถาบัน และหนีไปอยู่ต่างประเทศอยู่เบื้องหลัง
ยิ่งทำให้สงสัยอย่างยิ่งว่าแนวทางการข่าว ของรัฐบาลและคสช.พุ่งเป้าไปที่ใครกันแน่
และยังทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อจะกระชับอำนาจอีกครั้งหรือไม่
ซึ่งแน่นอนว่าขณะนี้คสช.ที่มีกองทัพเป็นหลักค้ำยัน ย่อมไม่จำเป็นต้องกระชับอำนาจใดๆ
เพราะเท่าที่มีอยู่ก็เหลือล้นเสียจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด
จึงเป็นเรื่องที่ควรจะชี้แจงแถลงไขให้ชัดว่าที่มาที่ไปของการประกาศลอบสังหารนั้น เป็นอย่างไรกันแน่
แล้วจึงใช้กระบวนการยุติธรรมดำเนินการ
ไม่ควรเป็นการจับกุมคุมขังโดยไม่แจ้งข้อหา ซึ่งเสี่ยงจะตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของชาวโลกอีกได้
ที่สำคัญการโพสต์ในโลกออนไลน์ แม้จะมีลักษณะอาฆาตมาดร้าย ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบว่าคนโพสต์มีศักยภาพที่จะทำได้จริงหรือไม่
เพราะความผิดพยายามฆ่า กับหมิ่นประมาทนั้นมีโทษต่างกันมากนัก
หากเหมารวมไปหมด ก็เกรงว่าตะรางที่มีอยู่จะไม่พอขัง