คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับกองทัพ ถึง 2 เรื่องซ้อน
สำหรับกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมทหารยศสิบโท ที่ส่งวัตถุระเบิดผ่านบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์ส่งให้ลูกค้าในต่างจังหวัด
เมื่อตรวจสอบรายละเอียดก็พบว่าวัตถุระเบิดดังกล่าวถูกขูดหมายเลขออก ส่อว่าจะเป็นอาวุธของทางราชการ
ส่วนอีกกรณีก็คือ จ่าอากาศขับรถปิกอัพขนอาวุธมาจากฝั่งกัมพูชา เพื่อ เอาไปขายให้กับกลุ่มกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ทางชายแดนไทย-พม่า ด้านอ.แม่สอด จ.ตาก
แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดหมาย กลับเกิดพลิกคว่ำ จนความแตก ถูกจับกุมในที่ เกิดเหตุ
กรณีนี้ถือเป็นความบกพร่องในการดูแลกำลังพล ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมาย ซึ่งก็รวมถึงการค้าอาวุธข้ามชาติ
เพราะยังไม่มีความแน่ชัดว่าอาวุธดังกล่าวเอามาจากไหน ขนจากคลังอาวุธของกองทัพไทยหรือไม่
ไม่เหมือนกับกรณีที่ส่งพัสดุบึ้ม ที่กองปราบปรามลุยสอบสวนขยายผล จนรู้คร่าวๆ แล้วว่าคดีนี้มีพลเรือนเกี่ยวข้อง 5 ราย และทหารอีกจำนวนหนึ่ง
อยู่ระหว่างขอหมายจับจากศาลทหาร
แม้ตำรวจจะยังไม่ได้สอบปากคำทหารด้วยตัวเอง เพราะยังถูกควบคุมตัวอยู่ที่ราบ 11 แต่เท่าที่สารภาพก็เป็นข้อมูลที่น่าตกตะลึง
ที่ระบุว่าขโมยระเบิดและเครื่องกระสุนจากคลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 1 รักษาพระองค์ เอาไปส่งขายลูกค้าทั่วประเทศ
เท่ากับว่าลักขโมยของหลวงเอาไปหากินกันเป็นล่ำเป็นสัน
แถมยังเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ซื้อจากเงินภาษีประชาชน อีกทั้งงบจัดซื้ออาวุธ สภาที่มีมาจากการแต่งตั้งก็อนุมัติงบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี
กลายเป็นอีก 1 คำถามถึงการตรวจสอบหน่วยงานทหารว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงไหน
กรณีนี้จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง ดูว่ามีนายทหารระดับ ไหนเข้าไปพัวพัน และต้องลงโทษอย่างเฉียบขาด
เพื่อคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของกองทัพ
หากไม่มีกำลังคนมาทำหน้าที่ ก็ควรให้นายทหารไปนั่งจนล้นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ได้ออกมาดูแลองค์กร กวาดล้างบ้านตัวเองให้สะอาด
ให้ชัดเจนว่าองค์กรทหารโปร่งใส?