คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปแล้ว สำหรับการติดตามจับกุมนายวัฒนา ภุมเรศ วิศวกรวัย 62 ผู้ต้องหาคดีวางระเบิดร.พ.พระมงกุฎฯ
เมื่อผลการสอบสวนพบว่าเจ้าตัวยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้วางระเบิดก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง ที่หน้ากองสลากเก่า และหน้าโรงละคร แห่งชาติ
แถมยังก่อเหตุลักษณะเดียวกันอีก 3 ครั้ง เมื่อปี 2550 ที่ตู้โทรศัพท์ เมเจอร์ รัชโยธิน ตู้โทรศัพท์ปากซอยราชวิถี 24 และข้างกรมแผนที่ทหารบก ติดบก.ทบ.
เพราะไม่พอใจเจ้าหน้าที่ทหารที่ยึดอำนาจเมื่อปี 2549 และปราบปรามประชาชน เมื่อปี 2553
รวมทั้งเลือกก่อเหตุในช่วงวันครบรอบ 3 ปี คสช. เพื่อดิสเครดิตคสช. และแก้แค้นแทนประชาชน 6 ศพที่ถูกสังหารภายในวัดปทุมวนาราม
นี่คือผลการสอบสวนจากเจ้าหน้าที่ แน่นอนว่าย่อมมีข้อโต้แย้งจากฝั่งที่ไม่เชื่อข้อมูลดังกล่าว
ไม่รวมถึงข้อสังเกตว่าการควบคุมผู้ต้องหาโดยปราศจากหมายศาล เอาตัวไปเค้นสอบในค่ายทหาร โดยไม่มีทนายความ
ย่อมกระทบต่อหลักการของกระบวนการยุติธรรมในเรื่องสิทธิการต่อสู้คดี
ทุกอย่างจึงต้องรอผลการรวบรวมหลักฐานประกอบ เพื่อยืนยันว่าคำสารภาพของนายวัฒนา เป็นจริงมากน้อยหรือไม่เพียงใด
ถ้าเป็นจริงย่อมแสดงให้เห็นว่า ยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่พอใจบทบาทของทหารในปัจจุบันนี้อยู่จริงๆ
และความไม่พอใจได้พัฒนาเป็นความเกลียดชังและแสดงออกถึงความรุนแรง
พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากการสร้างสถานการณ์ กลายเป็นระเบิดที่หวังผลถึงชีวิตและทรัพย์สิน
แถมเป็นการตัดสินใจเองโดยส่วนตัว ไม่มีการชี้นำใดๆ ทั้งสิ้น
หากมีคนแบบนี้มากขึ้น ผลกระทบย่อมมากมายมหาศาล
จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องตระหนักและป้องกันไม่ให้เกิดกรณีนี้อีกในอนาคต
โดยทางที่ดีที่สุด ก็คือต้องทบทวนบทบาทว่าไปสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับคนอื่นเขาบ้างหรือไม่อย่างไร
แล้วก็ต้องยุติการกระทำ แล้วเปิดรูระบาย ลดความอัดอั้นตันใจ
ซึ่งไม่มีทางไหนดีกว่าเร่งจัดการเลือกตั้ง ให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีสิทธิเลือกอนาคตประเทศ เพื่อลดแรงกดดันในใจประชาชน