คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
เป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างกว้างขวาง
สำหรับคดีฆ่ายกครัว 8 ศพที่จ.กระบี่
ไม่เพียงเพราะเป็นความโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนา ที่ลงมือได้กระทั่ง ผู้หญิง และเด็กอายุไม่กี่ขวบ
แต่ยังเป็นรูปแบบการวางแผนมาอย่างดิบดี
แต่งกายชุดพราง พกอาวุธสงคราม ถือหมายค้นแสดงโชว์ต่อชาวบ้านใกล้เคียง ประกาศชัดเจนว่ามาเข้าค้นยาเสพติดที่บ้านเป้าหมาย
ใช้เวลาอย่างใจเย็นนานร่วม 8 ชั่วโมง เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็เก็บหลักฐาน ทั้งฮาร์ดดิสก์จากกล้องวงจรปิด ปลอกกระสุน รวมทั้งสิ่งอื่นๆ ที่พอจะชี้เบาะแสทีมฆ่าได้
สะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มคนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
จนต้องภาวนาว่า อย่าได้เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐนอกแถวเลย!!?
แน่นอนว่าการกล่าวหากันลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐาน ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคม
ดังนั้น จึงต้องให้เวลาในการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเสียก่อน
แต่ในขณะที่ผลการสืบสวนยังไม่ออกมา บุคคลระดับแม่ทัพภาค 4 ก็ออกมาฟันธงทันทีว่าไม่ใช่ทหารแน่
โดยอ้างว่ามีแต่พลเรือนที่ชอบแต่ง ชุดพราง?
จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังการแสดงความเห็นที่สุ่มเสี่ยงจะชี้นำทิศทางของคดี
ลักษณะดังกล่าวทำให้หวนคิดไปถึงกรณีของนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ที่ถูกจนท.ทหารยิงเสียชีวิตคาด่านตรวจที่จ.เชียงใหม่ เมื่อเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
หลังจากเกิดเหตุ ยังไม่ทันสืบสวนทวนความ แม่ทัพภาคที่ 3 ก็ออกมาการันตีว่าทหารปฏิบัติถูกแล้ว
อ้างว่านายชัยภูมิต่อสู้ และจะขว้างระเบิดใส่ หากเป็นตัวเองคงไม่ยิงเพียงนัดเดียว แต่จะกดออโต้
พร้อมยืนยันว่ามีภาพวงจรปิดจับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดได้ชัดเจน
แต่จนแล้วจนรอด ผ่านมา 4 เดือนก็ยังไม่มีวงจรปิดใดๆ ออกมา ซึ่งรวมทั้งไม่มีความคืบหน้าในคดีด้วย
กรณี 8 ศพที่กระบี่ จึงควรรอผลการสอบสวนที่ชัดเจนเสียก่อน ค่อยดำเนินการตามความเหมาะสม
อย่าด่วนสรุป ไม่เช่นนั้นสังคมจะเข้าใจว่าช่วยเหลือพวกเดียวกัน