คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ถือเป็นความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสสำหรับประชาชนทั่วทุกภาคของประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤตน้ำท่วมระลอกใหม่
ตามที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยสรุปสถานการณ์ว่ามีถึง 36 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ
มีหมดทั้งภาคเหนือ อีสาน กลาง ใต้
แต่ที่ดูจะหนักหนากว่าที่อื่นก็คงหนีไม่พ้นสกลนคร ที่ถูกน้ำป่าจากเทือกเขาภูพานประกอบกับอ่างเก็บน้ำห้วยทรายขมิ้นที่พนังดินแตก
ทะลักจมเมืองในพริบตา!!?
ต้องชื่นชมน้ำใจจิตอาสา รวมทั้ง เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจ ทหาร ที่ระดมความร่วมมือช่วยเหลือประชาชนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เพียงแต่เมื่อวิกฤตผ่านพ้นไป ย่อมต้องตั้งคำถามถึงความสามารถของการบริหารจัดการของรัฐ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่จะต้องไม่ให้เกิดเหตุซ้ำซากอีก
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาทของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่คสช.สั่งยกเลิก และประกาศใช้แผนชุดใหม่
ทำงานมาแล้วร่วม 3 ปี มีความคืบหน้าในการป้องกันน้ำท่วม แก้ภัยแล้ง อย่างเป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง
รวมทั้งโครงการขุดลอกหนองคลอง ที่ว่าจ้างองค์การทหารผ่านศึกเป็นผู้ดำเนินการ นั้นมีประโยชน์โภชน์ผลอย่างใดบ้าง
เพราะต้องไม่ลืมว่าเหตุน้ำท่วมที่อีสานนี้ มีเหตุจากอิทธิพลหย่อมความกดอากาศต่ำที่แปรสภาพจากพายุเซินกาเท่านั้น
ยังไม่เจอพายุเต็มๆ เลยด้วยซ้ำ !??
นอกจากนี้ยังมีคำถามถึงการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต ว่าเหตุใดจึงไม่มีผู้มีอำนาจในการสั่งการลงไปกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด
แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องขนกันไปทั้งหมด เพราะบางกรณี ถ้าคนทำงานไม่เป็น มองปัญหาไม่ออก ก็จะกลายเป็นภาระของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเอาเสียอีก
แต่ก็จำเป็นต้องมีคนกุมอำนาจ กล้าตัดสินใจ ลงไปคลุกในพื้นที่ เพื่อให้เร่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วที่สุด
หากปล่อยให้แต่ละหน่วยงานทำตามหน้างานไปเรื่อยๆ ก็จะขาดการบูรณาการแก้ไขปัญหาที่ฉับไว
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมสังคมถึงทวงถามภาวะผู้นำของผู้บริหารประเทศ
ไม่เช่นนั้นประชาชนก็เดือดร้อนซ้ำซาก