คอลัมน์ ทิ้งหมัดข้ามุม
รุก กลางกระดาน
ชักจะแหม่งๆ สำหรับการตัดสินคดีจำนำข้าวของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันที่ 25 ส.ค.นี้
ไม่ใช่เรื่องคำตัดสินของศาล เพราะเชื่อขนมกินได้ว่า คนเป็นผู้พิพากษา ยิ่งเป็นถึงระดับผู้พิพากษาศาลฎีกา ย่อมมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาชี้นำได้
การตัดสินคดี ต้องมีเหตุมีผล มีหลักฐาน ข้อมูลมายืนยัน
ดังที่รับรู้กันว่ากระบวนการที่ถูกต้อง การตัดสินที่เป็นธรรม ย่อมเป็นสิ่งที่ค้ำยันสังคมไม่ให้พังทลาย
แต่ที่น่าจับตาและเป็นกังวลก็คือท่าทีของทั้งคสช.และรัฐบาล ที่มีต่อประชาชนส่วนใหญ่ที่หวังจะติดตามรับฟังการตัดสินคดีของศาล
โดยทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม รวมทั้งพล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ก็มีคำสั่งจับตามวลชนที่เตรียมเดินทางเข้ามาฟังการพิจารณาคดี
Advertisement
ไม่เพียงแค่นั้น ยังสั่งทหารให้ทำความรู้ความเข้าใจกับประชาชน เกี่ยวกับคดีจำนำข้าว
ไม่รู้ว่าเข้าข่ายชี้นำคดีหรือก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่!??
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหาวิ่งรถผิดประเภท ต่อคนขับรถตู้ 21 คัน ที่พาคนมาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์ ในวันแถลงปิดคดี เมื่อวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา
ซึ่งก็น่าสงสาร เพราะในยุคข้าวยากหมากแพง ค่าครองชีพสูง เงินหายาก มีคนจ้างวิ่งรถทำงานสุจริต รับจ้างเขาแล้วก็ถูกดำเนินคดี
ไม่เพียงเท่านั้น กสทช.ยังมีคำสั่งปิดสถานีโทรทัศน์พีซทีวี 30 วัน
ด้วยเหตุผลว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สะท้อนเสียงวิพากษ์ความพยายามสกัดการรับรู้ข่าวสาร
รวมทั้งสกัดไม่ให้ประชาชนเดินทางมาร่วมรับฟังคำพิพากษาในวันที่ 25 ส.ค.
ทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลย
เพราะหากไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย
ก็แค่ให้ทุกฝ่ายรอฟังคำตัดสินของศาล หากออกมาเป็นธรรม เป็นเหตุเป็นผล ไม่ว่าผิดหรือไม่ผิด ก็ต้องอธิบายโดยยึดหลักมาตรฐานความยุติธรรมสากล
ทุกอย่างก็ราบรื่น ไม่เป็นปัญหา