คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
ชะตากรรม พล.อ.ประยุทธ์ – กลายเป็นประเด็นสนใจกันอย่าง กว้างขวาง สำหรับกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยคำร้องเกี่ยวกับคุณสมบัตินายกรัฐมนตรีของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ในวันที่ 2 ธ.ค.ที่จะถึงนี้
โดยเป็นคำร้องกรณีที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ กรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ ยังพักอาศัยอยู่บ้านพักทหาร หรือบ้านหลวง ทั้งที่ไม่มีสิทธิพักอาศัย เพราะเกษียณอายุราชการไปแล้ว
เนื่องจากถูกจับตาว่าคำวินิจฉัย ดังกล่าวจะมีส่วนปลดล็อกทางการเมืองที่อยู่ในช่วงวิกฤตขณะนี้หรือไม่
เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2551 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ขาดคุณสมบัติ เพราะไปรับจ้างทำรายการชิมไปบ่นไป
และต่อมาก็วินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชน เป็นเหตุให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นสภาพนายกฯ
อีกครั้งในปี 2557 ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สิ้นสุดลง เพราะสั่งย้ายข้าราชการพลเรือน
เป็นนายกฯ 3 คนที่ต้องตกเก้าอี้ไปเพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
จึงเป็นที่น่าจับตาว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคนที่ 4 หรือจะเป็นผู้ไม่มีความผิดใดๆ เหมือนที่องค์กรอิสระต่างๆ เคยวินิจฉัยเรื่องร้องเรียน
รวมทั้งศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่าพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ขาดคุณสมบัตินายกฯเพราะการเป็นหัวหน้าคสช.ไม่ถือเป็น เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
ก็เป็นเรื่องที่ต้องลุ้นกันในวันที่ 2 ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหวังกันว่าคดีนี้ต้องขึ้นกับพยานหลักฐานข้อเท็จจริง
หากพล.อ.ประยุทธ์ จะขาดคุณ สมบัติ ก็ต้องเป็นเพราะเกิดความผิดจริง ไม่ใช่ให้สภาพการณ์ทางการเมืองมีส่วนในการตัดสินใจ
เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยังคงไว้ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนตัวพล.อ.ประยุทธ์ เองก็ต้องเรียกร้องให้พิจารณาถึงข้อเท็จจริง ว่าตัวเองเป็นปัญหาในระบอบประชาธิปไตย เป็นปัญหาของบ้านเมืองหรือไม่
อย่าสะกดจิตตัวเองว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้ง ไม่เคยทำอะไรผิด
เพราะหากเป็นเช่นนั้นนอกจากไม่กล้าจริงใจต่อผู้อื่นแล้ว ความจริงใจต่อตัวเองก็ไม่เหลือ
และหากต้องการจะลงจากตำแหน่งก็ควรตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง
ก็ยังพอจะเรียกว่ากล้าหาญได้อยู่บ้าง