คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
หาต้นตอโควิด – กลับมาอีกแล้วสำหรับสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นที่ตลาดค้าอาหารทะเล ที่จ.สมุทรสาคร ซึ่งตรวจพบผู้ติดเชื้อรวดเดียวกว่า 500 คน นำมาซึ่งการประกาศล็อกดาวน์พื้นที่ ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรคงต้องรอดูหลังจากช่วงเพาะเชื้อ อีก 14 วัน ว่าจะลุกลามบานปลายไปถึงขั้นไหน
แต่ที่แน่ๆ สถานการณ์ก็ไม่ค่อยดี เมื่อพบว่ามีผู้ติดเชื้อจากตลาดดังกล่าวที่เป็นแหล่งค้าส่งสินค้าประมงรายใหญ่ จึงส่งผลกระทบลามไปในหลายจังหวัดภาคกลาง รวมทั้งกทม.ด้วย
จะกระทบต่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจถึงเพียงไหนคงต้องติดตาม
แต่ที่แน่ๆ นอกจากการวางมาตรการป้องกันโรคด้านสาธารณสุขแล้ว ก็ต้องสืบสวนที่มาของการระบาดครั้งนี้ให้แน่ชัด
ไม่ได้หมายความว่าจะหาแพะรับบาป แต่ก็ต้องทำให้สิ้นข้อสงสัย จะได้รู้ว่าที่ผ่านมามีจุดบกพร่องผิดพลาดตรงไหนและเกิดจากอะไร
เพราะที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามาตรการด้านสาธารณสุขของประเทศไทย สามารถควบคุมโควิดได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
แล้วที่การ์ดตกเกิดเหตุเช่นนี้ แท้จริงมันคืออะไร
เพราะเหตุการณ์ทั้งหมดจะโทษกับกระบวนการสาธารณสุขก็ดูจะด่วนสรุปเกินไป เนื่องจากต้องไม่ลืมว่าขณะนี้ประเทศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
อำนาจถูกรวมศูนย์โดยนายกฯ โดยศบค.ไปหมดแล้ว
ยิ่งข้อเท็จจริงพบว่ามีความเป็นไปได้จากการลักลอบเข้าประเทศโดยไม่ผ่านการกักตัวของแรงงานข้ามชาติ
ปัญหายังไปพัวพันกับหน่วยงานอื่นๆ ทั้งกองทัพ กลาโหม มหาดไทย รวมเฉพาะกระทรวงเล็กๆ ที่มีรัฐมนตรีถึง 2 คน อย่างกระทรวงแรงงาน
ยิ่งต้องทำให้กระจ่างว่าเข้ามาจากชายแดนถึงเกือบจะใจกลางประเทศอย่างสมุทรสาครได้อย่างไร
ไม่เช่นนั้นคนก็จะอดสงสัยไม่ได้ว่ากระบวนการดูแลพื้นที่ชายแดนที่อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมีปัญหา
รวมทั้งข่าวลือประเภทคนมีสีนอกแถว เก็บค่าหัวคิว จัดส่งแรงงานต่างชาติเหล่านี้เข้ามาในช่องทางพิเศษ
ใช้ความเสี่ยงเรื่องสุขอนามัยของคนทั้งประเทศ แลกกับเงินค่าจ้างหัวละไม่ถึงหมื่น ซึ่งเทียบเคียงได้กับการขายชาติ ทรยศประเทศ
เป็นข้อกล่าวหารุนแรงที่ต้องทำให้ชัดเจนว่าเรื่องเหล่านี้มีจริงหรือไม่!??