อนาคตไม่มีวันแพ้ : เป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงอย่างมาก สำหรับกรณี #ม็อบ 24 มีนา หรือการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ที่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา

ซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาชุมนุมในรูปแบบการมีแกนนำ มีการปราศรัย ย้ำจุดยืนการเรียกร้อง แตกต่างจากการชุมนุมของกลุ่มรีเดม ที่เคลื่อน ไหวในลักษณะอิสระ อันเสี่ยงต่อการเกิดการเผชิญหน้าระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐ

นอกจากรูปแบบการชุมนุมแล้ว เรื่องที่จำเป็นต้องพูดถึงก็คือ ‘สาร’ ที่ชัดเจนตรงไปตรงมาที่กลุ่มผู้ชุมนุมแสดงออกในข้อเรียกร้อง นับเป็นข้อเสนอของกัลยาณมิตรที่ได้รับเสียงตอบรับอย่างกึกก้อง
เป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องรับฟังและพิจารณาด้วยท่าทีที่รอบคอบ

เพราะแม้จะเห็นได้ชัดว่าผู้ชุมนุมที่ออกมาเคลื่อนไหวบนท้องถนนจะมีจำนวนลดลง แต่ไม่ได้หมายถึงว่าการต่อสู้เรียกร้องจะหมดไป

เพราะทุกอย่างถูกบ่มเพาะอยู่ในจิตใจ กลายเป็นเรื่องที่นำมาพูดในระดับวงกว้างของสังคม และจะ

เป็นเรื่องที่ฝังลึกอีกนานแสนนาน

หากบริหารจัดการด้วยความไร้สติปัญญา หรือความไม่รู้เท่าทันโลก ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมสร้างความเสียหาย

หรือคิดว่าสามารถควบคุมสถาน การณ์ให้สงบราบคาบต่อไปได้เรื่อยๆ!!

ใครที่แหลมออกมาก็จับกุมคุมขัง ทำให้หวาดกลัว ทำให้หลาบจำ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะได้ผล

ก็ต้องไปดูว่าที่ขังรุ้ง เพนกวิน ไมค์ ไผ่ ดาวดิน แอมมี่ และคนอื่นๆ อีกกว่า 20 คนในเวลานี้ มันช่วยได้ไหม?

ก็เห็นแล้วว่ายังมีคนอย่างครูใหญ่ มายด์-ภัสราวลี เบนจา อะปัญ ที่ยังยืนหยัดและตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา

แล้วจะเอาคนพวกนี้ไปไว้ที่ไหน จะจับขังเขาอีก หรือจะสร้างคุกใหม่เอาไว้รองรับ

ตราบใดที่ยังไม่มีคำตอบ ไม่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคการเมืองสมัยใหม่ เสียงเรียกร้องเหล่านี้ก็ไม่มีทางเงียบลงไปได้อีกต่อไป

จะไล่คนเหล่านี้ให้พ้นไปจากประเทศ และให้คนกลุ่มเดียวบริหารบ้านเมือง ก็เห็นอยู่แล้วว่า 7 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองดีขึ้น หรือเลวลงอย่างไรบ้าง

ก็ต้องเตือนสติกันอีกครั้ง ว่าหากคิดต่อสู้กับอนาคต

ต่อให้ใหญ่เท่าใหญ่ ก็ไม่มีวันสำเร็จ!??

 

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน