“รุก กลางกระดาน”
น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับปฏิกิริยาเป็นเดือดเป็นแค้น รับไม่ได้กับถ้อยคำในขบวนแห่ฟุตบอลประเพณีจตุมิตรสามัคคี
ที่มีข้อความระบุว่า “ไทยแลนด์ แดนกะลา” และ “ชาตะ 1.0 มรณะ 4.0”
ด้วยการระบุว่าเป็นการแสดงออกถึงความไม่รักชาติ ดูถูกดูหมิ่นประเทศตัวเอง
สุดท้ายก็ใช้ท่าจบเดิมๆ ไล่ออกจากบ้าน เพราะถ้าเห็นว่าประเทศนี้ไม่ดีไม่งามก็ออกจากประเทศนี้ไปเสีย
แต่ไม่ยักเสนอค่าตั๋วเครื่องบิน หรือช่องทางใดๆ ให้เป็นทางเลือก หากต้องการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามว่า ทำไม คำว่า “แดนกะลา” มันถึงไปเสียดแทงหัวใจของคนเหล่านี้มากจนดิ้นพราด และออกแนวเสียอาการ
เริ่มต้นคงต้องอธิบายความว่าคำว่า “แดนกะลา” ที่หมายถึงน่าจะหยิบยกเนื้อหาของสุภาษิตไทยมาเปรียบเทียบ
เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมาก กบตัวหนึ่งอยู่ในกะลา แต่คิดว่าทั้งหมดคือโลก ตัวเองก็ใหญ่โตเสียเต็มประดา
เมื่อเปิดกะลาออกก็รับรู้ความจริง ว่าที่คิดว่าแน่ที่สุดนั้นไม่ใช่
ก็แค่นี้เอง หรือเห็นว่ารุนแรงเกินจริง!??
หากเป็นเช่นนั้นก็ลองไล่เรียงดูทีละเรื่อง อาทิ เศรษฐกิจ ที่ปัจจุบันก็ฝืดเคืองอัตคัด ข้าวจากเกวียนละหมื่นห้า เหลือเพียง 4-6 พัน
ยางพาราตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี จนม็อบชาวสวนยางนั่งไม่ติด
จากที่เคยอยากเป็นเสือตัวที่ 5 กลับมาตั้งเป้าเป็นเห็บสยาม!??
ด้านเทคโนโลยี มองไปที่การเกษตร ที่เรามักเชื่อว่าตัวเองเป็นครัวโลก ยอดผลผลิตต่อไร่ตกต่ำเท่าไหร่ ก็ยังเท่าเดิม ไม่มีวิทยาการใดๆ เข้ามาช่วยเหลือ
ด้านการสาธารณสุข ต้องพึ่งนักร้อง เพลงร็อกวิ่งหาเงินบริจาค เพราะงบประมาณรัฐถูกนำไปซื้ออาวุธมากกว่าซื้อยา
ด้านสังคม การเมือง เรายังมีคนถูกจับเพราะยืนเฉยๆ คนเห็นต่างก็ถูกกวาดล้าง คุกคาม มีคนต้องไปนอนคุกเพราะแชร์ข้อความในเฟซบุ๊ก
รัฐบาลทหารอยู่มา 3 ปีกว่า และ ตั้งคำถามเตรียมปูทางอยู่ต่อ
นี่คือประเทศในฝันของหลายคนใช่ไหม
หากเป็นเช่นนั้น ก็พอเข้าใจได้ในระดับหนึ่งในสภาพของกลุ่มบุคคลที่กำลังจะล่วงไปตามกาลเวลา
แต่อย่าไปบังคับกะเกณฑ์กับเด็กรุ่นใหม่เขาเลย
จะโดนดูถูกเอา