คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย…มันฯ มือเสือ
เปิดประเทศผลดีคือกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คนไทยส่วนใหญ่คิดว่ายังไม่ถึงเวลา เนื่องจากจำนวนคนได้รับวัคซีนครบโดสมีเพียง 50%
ตามที่หลายคนคาดการณ์ช่วงแรกของการเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือคนไทยเที่ยวกันเอง
ต่างชาติไม่เข้ามามากเนื่องจากหลายประเทศยังคงมาตรการเข้มงวดเดินทางเข้า-ออกประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น
ประกอบการผ่อนคลายมาตรการบางอย่าง ถึงไม่ใช่ปลดล็อกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การอนุญาตให้บางจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวเปิดนั่งดื่มในร้านอาหารได้
ก็ชวนหวั่นใจว่าอาจทำให้การติดเชื้อ โควิดกลับมาเพิ่มสูง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกถ้าเปิดแล้วมีปัญหา ก็ปิดใหม่
แต่จริงๆ คนพูดย่อมรู้ดีว่า เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลจึงควรมีมาตรการรองรับชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนทั้งด้านสุขภาพและการฟื้นเศรษฐกิจไปพร้อมกัน
ด้านการเมือง จับตาสถานการณ์ในรัฐบาลอันเนื่องจากความสัมพันธ์แตกร้าว ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ กับพรรคพลังประชารัฐ หรือพปชร.ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า
ยุทธการปราบกบฏ พปชร.ไปไม่ถึงสุดซอย ก็เพราะพล.อ.ประยุทธ์ประเมินกำลังตัวเองผิดจากความเป็นจริง
ฉากเหตุการณ์ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่ 6 รมต.เข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบ การหารือร่วม “3 ป.” ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ การเปิดอกพล.อ.ประวิตร-ธรรมนัสกับแกนนำกลุ่มต่างๆ ในพรรค ต่อด้วยฉากประชุมด่วนกรรมการบริหารพรรค
สุดท้าย “ธรรมนัส” ยังเป็นเลขาฯ พปชร.ต่อไป
ตรงนี้คือสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรู้สถานะตัวเองว่า การปลดรัฐมนตรีเป็นอำนาจนายกฯ แต่การตามไปปลดเลขาฯ พรรคโดยเฉพาะพรรคที่สนับสนุนตัวเองนั้น
คือสิ่งผิดพลาดมหันต์
ผลจากความผิดพลาด ทำให้นายกฯ และรัฐบาลต้องใจหายใจคว่ำทุกครั้งที่เสนอกฎหมายสำคัญเข้าสภา รวมถึงศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในภายภาคหน้าจะเกิดกบฏซ้ำรอยหรือไม่
จะยุบสภาก็ต้องคิดหนัก ยุบแล้วต้องเลือกตั้ง
หลังเกิดเรื่องสัปดาห์ก่อนก็ไม่แน่ว่าเลือกตั้งหน้า พปชร.จะยังชู “ประยุทธ์” เป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ ถ้าไม่ แล้วจะทำอย่างไร หรือต้องไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นเอง
สภาพนายกฯ “ตีนลอย” แบบนี้ จึงนำไปสู่อะไรได้หลายอย่าง
แต่ละอย่าง ล้วนน่าติดตาม