คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

โดย…รุก กลางกระดาน

จะอยู่กันแบบนี้จริงๆใช่ไหม

ยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ สำหรับสถานการณ์ทางการเมืองในความแตกต่างทางความคิดและข้อ เรียกร้อง ที่กินเวลายาวนานข้ามปี แถมไม่มีทีท่าที่จะลดระดับลงแต่อย่างใด

แม้ต้องเผชิญกับการใช้กฎหมายจับกุมคุมขัง ซึ่งล่าสุดจากการรวบรวมข้อมูลของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีผู้ถูกคุมขังไม่ต่ำกว่า 25 คน ในระหว่างรอการพิจารณาคดี

ไม่ได้สิทธิประกันตัวต่อสู้คดีอย่างที่ควรจะเป็น!??

มิหนำซ้ำข้อเสนอต่างๆ ที่ควรจะได้นำมาถกเถียงหารือกัน ตามแนวทางคลี่คลายความขัดแย้งต่างๆ ของอารยประเทศ

กลับถูกสั่งห้ามพูด และล่าสุดถูกห้ามนำเสนอด้วยการตีความของ กสทช.อ้างจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งที่คำวินิจฉัยฉบับเต็มยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ แถมยังต้องเผชิญถึงความถูกต้องตามหลักการของการตีความกฎหมายอีก

กลายเป็นคำถามที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปจริงๆ ว่า เหตุใดการจัดการความขัดแย้งในเรื่องต่างๆ ถึงไม่สามารถนำประเด็นมาถกเถียงหาทางออกร่วมกันได้

และที่สำคัญในขณะที่สังคมกำลังจะเปลี่ยนผ่าน การพูดคุยถกเถียงเพื่อรับฟังอย่างรอบด้าน เป็นหนทางเดียวที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้าลง และละมุนละม่อมมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ

ตรงกันข้ามการพยายามปิดกั้นอาจจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วและแรงกว่าที่จะรับไหว

จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลเอง ควรจะตระหนักและเร่งแก้ไขปัญหา

เพราะในภาวะที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจปากท้อง หนี้ครัวเรือน หนี้ของประเทศ สถานการณ์โควิด เรื่องการดูแลสุขภาพ รวมทั้งปัญหาการเมืองในพรรครัฐบาลเอง ที่ทำให้สถานะของนายกฯ ถูกตั้งคำถามว่ามั่นคงเพียงใด

แค่นี้ก็หนักหนาสาหัสมากพออยู่แล้ว

อะไรที่ไม่จำเป็นต้องเป็นปัญหา ก็ไม่ควรที่จะต้องเพิ่มเติมเข้ามา

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ลดระดับได้ง่าย นิดเดียว เพียงแค่ผลักดันให้สังคมมีความยุติธรรมแบบมาตรฐานเดียว เปิดใจยอมรับฟัง ให้โอกาสถกเถียงกันในที่สาธารณะ

เท่านี้ก็จะลดช่องทางที่จะเกิดความรุนแรง

หากเพิกเฉยต่อโอกาสดังกล่าว และยืนหยัดว่าจะอยู่กันแบบนี้จริงๆ

ประวัติศาสตร์ก็จะจารึกชื่อเอาไว้ แต่ในทิศทางใด คงรู้กันอีกไม่นาน!!!

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน