ข้อคิดจาก #แบนลูกหนัง – เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับกระแส #แบนลูกหนัง ที่เกิดขึ้นในโลกโซเชี่ยลมีเดีย
ย่อมเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในแง่มุมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเหมาะสม หรือคนที่เป็นลูกควรรับผลการกระทำของคนเป็นพ่อแม่หรือไม่
แม้ต่อมาจะถกเถียงกันว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่แค่การกระทำของพ่อแม่เท่านั้น เพราะตัวเธอเองก็มีพฤติกรรมที่สนับสนุนการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
กลายเป็นสารตั้งต้นให้เกิดรัฐประหารโดยคสช. และมาเป็นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจในปัจจุบัน ซึ่งกินเวลากว่า 8 ปีแล้ว
กัดกินความหวังของคนในสังคมไปมากหลาย หลายคนต้องติดคุกติดตะราง บางคนโดนคดีความ ขึ้นศาลทหาร ศาลพลเรือน บางคนถูกคุกคามทำร้ายร่างกาย แต่ไม่สามารถจับกุมคนร้ายได้
แถมเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ลดระดับลง
เป็นความเลวร้ายในระดับที่นักปรัชญาชาวฝรั่งเศส มองเตสกิเออ ระบุไว้ว่า “ไม่มีความเลวร้ายใดที่จะยิ่งไปกว่าความเลวร้ายที่ได้กระทำโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมาย หรือในนามของกระบวนการยุติธรรม”
กระทั่งล่าสุดแม้หญิงสาวที่บอกกับ นายกฯ ว่าหากทำงานไม่ได้ให้เกษียณไป
พูดด้วยอย่างสุภาพ ก็ยังโดนเสียบประจาน แถมยังถูกตำรวจเรียกไปทำประวัติ
ทั้งหมดจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้กับปฏิกิริยาต่างๆ ที่แสดงออก
แน่นอนว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ไม่ใช่ ครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นดาราศิลปินที่สนับสนุนประชาธิปไตย ถูกแบนงาน บางคนถึงขั้นหมดอนาคต
ลูกชายอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ถูกเป่านกหวีด ลูกสาวบ.ก.ลายจุดถูกโพสต์คุกคาม ด่ากราดอย่างหยาบคาย
เพียงแต่ครั้งนี้เกิดขึ้นกับอีกฝั่งเท่านั้น
สะท้อนให้เห็นว่าความโกรธแค้นรุนแรงมากขึ้น จนคาดไม่ถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองจะได้ตระหนักรู้ และป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกรุนแรงมากขึ้น
ทางแก้ไม่ใช่การจับคนเห็นต่างไปขัง หรือไล่ออกนอกประเทศ
แต่เป็นการทำให้เกิดความเป็นธรรมที่แท้จริง
ไม่เช่นนั้นก็น่ากังวล เมื่อแรงต้านกับครอบครัวผู้สนับสนุนยังขนาดนี้
หากเกิดขึ้นกับครอบครัวผู้เผด็จการเอง จะรุนแรงถึงขั้นไหน!??
ไม่อยากคิดเลยจริงๆ