คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย – มันฯ มือเสือ
จบเลือกตั้งซ่อม ปชป.ทำยังไงต่อ?
หลายคนรอดูว่าหลังจบศึกเลือกตั้งซ่อมส.ส.ชุมพร-สงขลา
พรรคแกนนำรัฐบาลพลังประชารัฐกับพรรคร่วมรัฐบาลอย่างประชาธิปัตย์จะอยู่กันต่อไปอย่างไร
เนื่องจากก่อนหน้านี้โดยเฉพาะช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียง ทั้งสองพรรครัฐบาลระเบิดศึกวิวาทะกันอย่างดุเดือดทั้งบนเวทีปราศรัยและล่างเวที บรรดาแกนนำและส.ส.พรรค บ้างก็ใช้วิธีโพสต์ลงโซเชี่ยล บ้างก็ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อ
โจมตีกันแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
ประเด็นหยิบยกขึ้นมาแลกหมัด นอกจากนำเสนอนโยบายแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่เขตเลือกตั้งนั้นๆ ยังลามไปถึงนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาลอีกด้วย
ทั้งสองพรรคอยู่บน “เรือแป๊ะ” ลำเดียวกันแต่กลับโยนบาปกันไปกันมาตั้งแต่เรื่องหมูแพง น้ำมันแพง
รวมถึงมาตรการ “คนละครึ่ง” ที่หัวหน้าประชาธิปัตย์ปราศรัยกล่าวหาบางพรรค “ปล้นกลางแดด” เคลมเป็นผลงานตัวเองเพียงคนเดียว แทนที่จะเป็นผลงานร่วมกันของรัฐบาล จนทำให้พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ต้องชี้แจงปฏิเสธ เรื่องนี้ด้วยตัวเอง
ยังไม่นับเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลแฉกรณี “เสธ.ต.”
พร้อมระบุเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้มีการใช้อำนาจรัฐแทรกแซง และใช้กระสุนเสบียงกรังแบบไม่อั้น
โมเดลเดียวกับสนามเลือกตั้งซ่อมนครศรี ธรรมราชเดือนมี.ค.64 ที่ประชาธิปัตย์เป็นแชมป์เก่าเจ้าถิ่นแท้ๆ แต่ก็พ่ายหมดรูป
มีการวิเคราะห์กันว่าการที่พลังประชารัฐเอาจริงเอาจังกับทุกสนามเลือกตั้งซ่อม โดยไม่สนใจว่าใครทวงถามถึงมารยาททางการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาล
ฉากหน้าสะท้อนออกมาเพื่อต้องการเพิ่มเก้าอี้ส.ส.ของพรรค แต่ฉากหลังคือแกนนำพรรคบางคนต้องการ “โชว์พาว” ให้ “บางคน” ในรัฐบาลได้เห็น
นอกจาก “บิ๊กป้อม” แล้วใครคือ “หุ้นส่วนใหญ่” ตัวจริงเสียงจริงที่คุม อำนาจส.ส.ในพลังประชารัฐ
ขณะเดียวกันในการเลือกตั้งซ่อมทุกครั้งที่พลังประชารัฐส่งผู้สมัครลงแข่งกับพรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นเครื่องสะท้อน ได้ว่า
พลังประชารัฐประเมิน “ราคา” พรรค ร่วมรัฐบาลนั้นๆ อย่างไร
โดยเฉพาะประชาธิปัตย์ในยุคนาย จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เป็นหัวหน้าพรรค ที่หลายคนฟันธงตรงกัน หลังจบศึก เลือกตั้งซ่อมก็พร้อมทำตัวเป็นเด็กดี กลับไปเป็น “นั่งร้าน” ให้กลุ่มอำนาจเผด็จการต่อไป
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น