เป็นข่าวใหญ่แทบทุกสื่ออย่างพร้อมเพรียงกันจริงๆ สำหรับกรณีการบุกทลายลัทธิพิสดาร ที่จ.ชัยภูมิ

เนื่องจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ล้วนอยู่ในขั้นรับไม่ได้ของสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเชิดชูเจ้าลัทธิ ให้เป็นพระบิดาของทุกศาสดา ทุกศาสนาในโลก

แถมยังเป็นขั้นผู้สร้างปาฏิหาริย์ สิ่งปฏิกูลที่ออกมาจากร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นปัสสาวะ อุจจาระ เสมหะ หรือขี้ไคล ถูกเชื่อว่าเป็นโอสถวิเศษ ที่รักษาอาการโรคภัยไข้เจ็บ

ที่น่าตกตะลึงคือพบศพผู้เสียชีวิต ไม่ได้ทำพิธีทางศาสนา ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรการที่ปลอดภัยตามมาตรฐานสาธารณสุข

อ้างว่าต้องรอ ‘พระบิดา’ อนุญาต ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ขึ้นสู่สรวงสวรรค์

เมื่อเรื่องราวถูกเปิดโปง เราถึงได้รู้เรื่องราว และความเดือดร้อนของครอบครัวเหยื่อที่ถูกหลอกลวงให้ไปใช้ชีวิตอยู่ภายในลัทธิดังกล่าว

กลายเป็นคำถามว่าในยุคสมัยใหม่ขนาดนั้น ยุคที่คนไปอวกาศ มีอินเตอร์เน็ตสืบค้นข้อมูลได้ทุกอย่างเช่นนี้

เหตุใดยังหลงเป็นเหยื่อไปหลงเชื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้

ส่วนหนึ่งทางหลักจิตวิทยา ก็คือ การขาดที่พึ่ง ขาดที่ยึดเหนี่ยว จนต้องไขว่คว้าสิ่งที่ทำให้ยึดมั่นและสบายใจได้

เพราะเท่าที่ดูจากข่าว สาวกทุกคนก็พูดทำนองเดียวกันว่า ‘พระบิดา’ สั่งสอนให้เป็นคนดี ไม่ยึดติด ปล่อยวาง

หากตีความตามตัวบทแล้วก็ไม่แปลก แต่เมื่อเจอผลการปฏิบัติจริงก็ถือว่าสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง

ดีว่ากรณีนี้เห็นได้ชัดเจนว่าวิปลาสไปจากความรู้สึกของสังคมส่วนใหญ่

แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ก้ำกึ่ง ‘ความดี’ ของคนหนึ่ง อาจไม่เท่ากับอีกคนหนึ่งก็เป็นได้

ลองคิดเล่นๆ ว่า หากแนวคิดของลัทธิดังกล่าวกลายเป็นคนหมู่มากในสังคม จะเป็นยังไง

สังคมไม่วิปริต ผู้คนไม่วิปลาสกันไปจนหมดหรือ

ถือเป็นโอกาสอันดีจะย้อนมองดูเหตุการณ์ในสังคมภาพใหญ่ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่ามีอะไรที่ผิดเพี้ยน

ไปจากมาตรฐานความเป็นจริงบ้างหรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอลัชชีเสพเมถุนบนสันเขื่อน ที่กลายเป็นไอดอล ถูกนับหน้าถือตา

หรือกรณีเยาวชนหลายต่อหลายคนที่ต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ เพราะเรื่องความคิดที่แตกต่าง

ทุกอย่างยังเป็นปกติอยู่หรือไม่!??

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน