ทิ้งหมัดเข้ามุม
รุก กลางกระดาน
แม้กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.เลือกตั้งส.ส. ยังยืนยันขยายเวลาบังคับใช้กฎหมาย ออกไปอีก 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา
หากแต่เสียงไม่เห็นด้วยจากบรรดานักการเมือง ก็ยังหนาหู มองว่าถ้ารัฐบาล คสช.ปลดล็อกจะสามารถแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองได้ เพราะการขยายเวลาการใช้กฎหมายดังกล่าวเท่ากับการยืดเวลา เลือกตั้ง
นักวิชาการ และอดีต กกต.มองประเด็นนี้อย่างไร
ผ่านมาร่วม 4 ปี ในที่สุดคดีประวัติศาสตร์การเมืองไทยของกลุ่ม กปปส.ก็ถูกนำขึ้นสู่ศาลอาญา
โดยกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 9 คน ที่เป็นอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรค ถูกอัยการยื่นฟ้อง 9 ข้อหาหนัก
มีทั้งข้อหากบฏ ก่อการร้าย และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้ง
พร้อมบรรยายคำฟ้องถึงพฤติกรรมเมื่อ 4 ปีก่อนโดยละเอียด
ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกลุ่มคณะยุยงปลุกระดมให้ประชาชนร่วมก่อความไม่สงบ เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
ประกาศตั้งตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ปลด นายกฯ ครม. แต่งตั้งบุคคลมาดำรงตำแหน่ง แทน โดยอ้างตัวเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธไล่ล่าตัวนายกฯ และรัฐมนตรี ตั้งศาลประชาชน ลงโทษริบทรัพย์
เดินขบวนชัตดาวน์กรุงเทพฯ ปิดล้อมสถานที่ราชการและเอกชน สถานีโทรทัศน์ ตัดน้ำตัดไฟ ใช้กำลังประทุษร้ายจนมีจนท.รัฐอันตรายและเสียชีวิต
อีกทั้งยังร่วมกันทำความเสียหายต่อระบบโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นประโยชน์สาธารณะ เครื่องควบคุมการจ่ายกระแสไฟฟ้าหลักของทีโอที และระบบอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ของประเทศ
ก่อความเสียหายนับพันล้านบาท!
ทั้งหมดเป็นพฤติกรรมที่ผู้ต้องหาต้องไปต่อสู้ในชั้นศาลตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
อย่างไรก็ตาม การที่คดีนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของสังคมอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่
ก็มีข้อดีอีกด้าน คือการทบทวนเรื่องราวในอดีต ว่าเรามาอยู่ในยุครัฐบาลทหารเช่นนี้ได้อย่างไร
มีใครเป็นคนปลุกปั่น เปิดประตูให้ทหารมาปฏิวัติ!
แล้วเมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของทหารแล้ว บ้านเมืองเป็นอย่างไร
อีกทั้งวาทกรรมที่ปลุกระดมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต้านคอร์รัปชั่น หรือการปฏิรูป
วันนี้คืบหน้าไปถึงไหนอย่างไร
หากเรียนรู้สำนึก ก็ถือเป็นบทเรียนว่าปัญหาทางการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ต้องเดินตามกติกาหลักเกณฑ์ที่เป็นสากล
ใช้วิธีนอกระบบ ยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามบานปลาย
และยังย่ำรอยเดิม ใช้วิธีอันธพาลข้างถนน
ก็คงไม่แคล้วต้องโดนข้อหา “กบฏ” อีกเป็นแน่แท้