“รุก กลางกระดาน”

กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ไปเรียบร้อยแล้ว

สำหรับกรณีที่ เจ้าสัวเปรมชัย กรรณสูต บิ๊กบอสอิตาเลียนไทย บริษัทรับเหมายักษ์ใหญ่เมืองไทย ถูกจับคาป่าทุ่งใหญ่นเรศวร

หลังเจ้าหน้าที่พบไปกางเต็นท์พักแรมในเขตหวงห้าม ตรวจค้นพบอาวุธปืนไรเฟิล และซากสัตว์ป่า ทั้งไก่ฟ้า เก้ง และเสือดำ

พร้อมส่งตัวดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกป่า-ล่าสัตว์ป่าสงวน และอื่นๆ อีกรวม 9 ข้อหา

แน่นอนว่าพฤติกรรมผิดกฎหมายทุกอย่าง ต้องต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม ต่อสู้ในชั้นศาลต่อไป

ผิดก็ต้องรับโทษ ไม่มีใครไปช่วยเหลือเกื้อกูลได้

แต่ที่น่าสนใจ ก็คือกระแสสังคม ที่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างกว้างขวางรุนแรง เต็มไปด้วยความโกรธ ไม่พอใจต่อการล่วงละเมิดชีวิตสัตว์ และการบุกรุกป่าเพื่อทำลายล้าง หรือการเป็นนักล่า

แม้จะน่าผิดหวังไปบ้าง ที่เห็นคนบางกลุ่มใช้กรณีดังกล่าวฟอกขาวตัวเอง สร้างความชอบธรรมจากการวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น

โหนกระแสขึ้นมา โดยไม่สำรวจตัวเองว่าท่าทีต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่ผ่านมาเป็นอย่างไรกันแน่

แต่โดยรวมก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ที่ได้ปลุกจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติให้ตื่นตัวขึ้นมา

และหวังว่ากรณีดังกล่าวจะไม่ได้ถูกขีดเส้นไว้แค่การต่อต้านการเข้าป่าล่าสัตว์ของใครคนนึงเท่านั้น

แต่จะขยายไปถึงการเข้ามาดูแลธรรมชาติทั้งระบบ โดยเฉพาะการรุกรานป่าภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นแนวนโยบายแห่งรัฐ

ไม่ว่าจะเป็นโครงการเขื่อนแก่งเสือเต้น หรือเขื่อนแม่วงก์ ที่ทุกรัฐบาลพยายามผลักดันขึ้นมาใหม่

ทว่าเสียงคัดค้านโดยเฉพาะพวกองค์กรอนุรักษ์กลับเบาลงอย่างน่าใจหาย

หรือกระทั่งโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามเดินขบวนคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ถูกจับกุมดำเนินคดี

แถมกระแสสังคมก็ไม่ได้โอบอุ้มช่วยเหลือคนเหล่านี้เท่าที่ควร

สิ่งเหล่านี้จึงควรถูกกลับมาทบทวน

อย่าให้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องดัดจริต รักป่า หวงแหนป่า ในประเด็นยิบย่อย

แต่เรื่องใหญ่ระดับนโยบายกลับเพิกเฉยละเลย

มันจะน่าเศร้าไปกันใหญ่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน