ผ่านหลายวันยังเดาทางไม่ออก กกต.จะมาไม้ไหน

จากการมีมติไม่รับ 3 คำร้องกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี เนื่องจากยื่นร้องเกินเวลากำหนด

แต่มีมติรับพิจารณาตามมาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง เหตุ “รู้อยู่แล้ว” ว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากมีลักษณะต้องห้าม แต่ก็ยังฝ่าฝืน

ด้านหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ว่า นายพิธาไม่น่ารอด อาจต้องโดนโทษคุกสูงสุด 10 ปี และตัดสิทธิ์เลือกตั้ง 20 ปี

แต่ก็มีนักกฎหมายหลายคนที่เห็นตรงกันข้าม

โดยไม่เกี่ยวกับปมรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่บันทึกเอกสารรายงานกับคลิปภาพและเสียงในการประชุมขัดแย้งไม่ตรงกันในประเด็นว่า ไอทีวียังดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ ตามที่เป็นข่าวครึกโครมตอนนี้

แต่ที่เห็นเช่นนั้นก็เพราะอย่างที่ทนายเชาว์ มีขวด อธิบายไว้ว่า ความผิดตามมาตรา 151 ต้องเป็นความผิดที่มีเจตนาชัดเจน

กล่าวคือ คำว่า “รู้อยู่แล้ว” ต้องเป็นข้อเท็จจริงตายตัว รับฟังเป็นยุติ ไม่สามารถดิ้นได้ เช่น การเคยต้องคำพิพากษา หรือคุณสมบัติการศึกษา








Advertisement

แต่กรณีหุ้นนายพิธา เป็นประเด็นที่ยังไม่ยุติ ยังมีข้อสงสัยอยู่หลายประการ

โดยเฉพาะนายพิธา ยืนยันถือหุ้นในนามผู้จัดการมรดก และเคยยื่นแจ้งต่อ ป.ป.ช.แล้ว

ส่วนประเด็นไอทีวี ยังประกอบกิจการสื่ออยู่หรือไม่ แค่นายพิธาต่อสู้ว่า ตนเองเข้าใจว่าไอทีวีไม่ได้เป็นสื่อ เพราะหยุดประกอบกิจการมานานแล้ว

ก็จะหลุดพ้นความผิดในมาตรานี้ทันที เพราะขาดเจตนา

มิเช่นนั้น นายพิธาคงโอนหุ้นให้เสร็จก่อนวันสมัครเลือกตั้ง ซึ่งกระทำได้ง่าย คงไม่ฝืนสมัครทั้งที่รู้ว่ามีความผิด

ยิ่งถ้าเทียบกับกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จะเห็นว่าอัยการยกคำร้องหลังจากนายธนาธรถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า มีคุณสมบัติต้องห้ามจากการถือหุ้นสื่อจริง จนพ้นสภาพ ส.ส.

และ กกต.ก็ชงเรื่องต่อว่า นายธนาธรมีความผิดตามมาตรา 151 สุดท้ายอัยการสั่งไม่ฟ้อง ชี้ว่า คดีอาญาต้องมีหลักฐานนำสืบจนปราศจากข้อสงสัย ทำให้คดียุติไป

แต่ถึงอย่างไร กรณีนายพิธา ที่ กกต.ไต่สวนตามมาตรา 151 จะไม่น่าห่วง แต่เรื่องถือหุ้นไอทีวี จะทำให้ขาดคุณสมบัติหรือไม่ ยังไม่ยุติ

หลังจาก กกต.รับรอง ส.ส.แล้ว ยังมีอีกหลายช่องทางทั้ง ส.ส. ส.ว. หรือ กกต.เอง สามารถยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้อีก ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ

ตรงนั้นต่างหาก ที่ระทึกขวัญแฟนด้อมมากกว่า

มันฯ มือเสือ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน