“ดอกเบี้ยแพงโคตร” ประโยคหนึ่งที่นายกฯ เศรษฐา พูดปาฐกถาเมื่อไม่กี่วันก่อน ต่อหน้านักธุรกิจรุ่นใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นายกฯ ระบุถึงสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันนี้เปราะบาง ควรจะลดดอกเบี้ยตั้งนานแล้ว แต่ก็ไม่ลด ในฐานะเป็นคนอสังหาฯ มาก่อน จะเรียกร้องให้หนักกว่านี้ มีความลำบากใจ เดี๋ยวจะหาว่าทำเพื่อตัวเองอีก แต่เรื่องดอกเบี้ยเป็นเรื่องสำคัญที่กำหนดกำลังซื้อ

นอกจากนักอสังหาฯ ด้วยกันแล้ว มองกันว่านายกฯ เศรษฐา ต้องการสื่อสารไปยังผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ด้วย

ที่ยังดูเหมือนไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยนโยบาย

ปัจจุบันอยู่ที่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ สูงสุดในรอบ 10 ปี

ตามที่ผลการประชุม กนง.-คณะกรรมการนโยบายการเงิน ครั้งล่าสุดยังให้คงไว้

ก่อนหน้านี้นายกฯ เคยเชิญผู้ว่าฯแบงก์ชาติมาหารือที่ทำเนียบรัฐบาลถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผลตามที่นายกฯ ต้องการ จนกลายเป็นข่าวลือหนาหูถึงขั้นจะปลดผู้ว่าฯแบงก์ชาติ

แต่ด้วยพ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย การจะปลดนั้นทำไม่ได้ง่ายๆ








Advertisement

มีขั้นตอนยุ่งยาก ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีความประพฤติเสื่อมเสียร้ายแรง หรือทุจริตต่อหน้าที่

อีกประการสำคัญคือ รัฐบาลจะถูกมองว่าเข้าไปแทรกแซง ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน

ปัญหาดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง การลงทุนลดลง การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว

ขณะที่ดอกเบี้ยเงินกู้สูง แต่ทางกลับกันดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ไม่สอดคล้องกัน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ได้กำไรมหาศาลจากส่วนต่างดอกเบี้ย ยืนยันจากผลประกอบการโดยรวมเมื่อปี 2566 ธนาคารพาณิชย์มีกำไรมากถึง 2.2 แสนล้านบาท

สวนทางกับสภาพเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนของประชาชน

ที่ผ่านมาแบงก์ชาติเคยบอกจะหารือกับธนาคารพาณิชย์เพื่อทบทวนดอกเบี้ย ทั้งยังบอกด้วยเข้าใจ เห็นใจที่ประชาชนต้องเจอกับสภาพเศรษฐกิจไม่ดี

แต่วันนี้ผ่านมาหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีความเข้าใจ และเห็นใจจากแบงก์ชาติ

คำว่า “ดอกเบี้ยแพงโคตร” ไม่ใช่แค่นายกฯ แต่ประชาชนเองก็บ่นเช่นกันโคตรแพง

ข้าวตอกแตก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน