เข้าสู่ระยะที่ 3 หรือเฟส 3 ในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ประเดิมวันแรงงานแห่งชาติ สำหรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว หรือ 30 บาทพลัส
เป็นการอัพเกรดจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค หรือบัตรทอง ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ที่ประชาชนคนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี
เพราะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้มาเป็นเวลากว่า 20 ปี
เนื่องจากเป็นนโยบายที่พลิกโฉมสวัสดิการด้านสาธารณสุขครั้งใหญ่อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
โดยเฉพาะผู้สูงวัย ประชาชนตั้งแต่ระดับกลางลงล่าง ที่สามารถเข้าถึงบริการ ยกระดับด้านการดูแลสุขภาพ เพิ่มโอกาสในชีวิตในการเข้าถึงระบบบริการสาธารณสุขอย่างถ้วนหน้า
ขณะเดียวกัน ส่งผลให้กลายเป็นผลงาน เป็นจุดแข็ง จุดเด่นของพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมายังพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในวันนี้
สำหรับ 30 บาทพลัสเฟส 3 เพิ่มพื้นที่การบริการอีก 33 จังหวัด จากเดิม 12 จังหวัด
รวมเป็น 45 จังหวัด ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้
เช่น ยกระดับการบริการ ไม่ต้องรอคิวนานขณะรับยากลับไปรับประทานที่บ้าน เพราะมีระบบจัดส่งยาถึงบ้านด้วยเฮลท์ไรเดอร์
รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุข ตั้งเป้าภายในสิ้นปี 2567 จะครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ
ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของการบริการ
นโยบายนี้จึงเป็นจุดเด่น จุดแข็งของพรรคเพื่อไทยที่คู่แข่งทางการเมืองยากที่จะล้ม หรือสกัดขัดขวาง
ในช่วงบรรยากาศทางการเมืองปกคลุมไปด้วยรัฐประหาร ต่อเนื่องถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจ มีความพยายามจะลดทอนความสำคัญของนโยบายนี้
อ้างต้องใช้งบประมาณมหาศาล เป็นภาระให้รัฐบาล อะไรทำนองนี้
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ เพราะจะกระทบกับประชาชนจำนวนมาก
นอกจากผลงานตั้งแต่พรรคไทยรักไทยแล้ว ก็ต้องนึกถึง หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ผู้ล่วงลับ
เนื่องจากเป็นผู้บุกเบิก ผลักดันโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า
จนกลายมาเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค และพัฒนาต่อเนื่องมาเป็น 30 บาทพลัสในวันนี้
ข้าวตอกแตก