คดีสังหารนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ “สจ.โต้ง” คาบ้านนายสุนทร วิลาวัลย์ นายกอบจ.ปราจีนบุรี อดีตสส.และรัฐมนตรี นำไปสู่การขยายผลตรวจค้นบ้านเครือข่ายลูกน้องคนสนิทนายสุนทร ผู้ต้องหาคนสำคัญของคดี
โดยตำรวจกองปราบฯ ผนึกกำลังร่วมกับตำรวจภูธรภาค 2 และภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เปิดปฏิบัติการภายใต้ยุทธการล้างบางมาเฟียปราจีนบุรี
เจ้าหน้าที่จู่โจมเข้าค้นหลายจุดหลายอำเภอ อาทิ บ้านผู้ใหญ่บ้าน เลขาส่วนตัว เป็นต้น
ทุกเป้าหมายที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นนั้น ล้วนเป็นคนสนิทใกล้ชิด และเป็นฐานเสียง หัวคะแนนให้นายสุนทรแทบทั้งสิ้น
การบุกค้นกดดันดังกล่าวย่อมส่งผลต่อรูปคดี ทำให้เกิดความเกรงกลัว ไม่กล้าเข้าไปแทรกแซงคดี หรือยุ่งเหยิงพยานหลักฐานต่างๆ
อีกประการคือสร้างความอุ่นใจให้แก่ประชาชน เพราะเหตุการณ์สังหารสจ.โต้ง สร้างความสะเทือนใจ และหวาดกลัวต่อสังคมไม่น้อย
ขณะเดียวกัน ก็มีเสียงเรียกร้องไปยังรัฐบาล ให้ถือโอกาสนี้ปราบปรามผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ
เนื่องจากเหลืออีกเพียงเดือนกว่าก็จะมีการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น สมาชิกและนายกอบจ.ทั่วประเทศ ซึ่งเหลืออีกกว่า 40 จังหวัด
คาดว่าการแข่งขันจะเข้มข้นดุเดือด
ดังนั้นถ้าบรรยากาศเต็มไปด้วยความรุนแรง ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเลือกตั้งแน่นอน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ประกาศเองจะเป็นหัวหน้าทีมเฉพาะกิจปราบปรามผู้มีอิทธิทั่วประเทศ
“เราต้องดูเรื่องนี้ให้หนักแน่นขึ้น ตำรวจก็ดูเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก รัฐบาลนี้และสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นทุจริตคอร์รัปชั่น ผู้มีอิทธิพลใดๆ เราให้ความสำคัญทั้งหมด ทุกทีมทำงานร่วมกัน และอีกหน่อยเรื่องพวกนี้จะน้อยลง”
นายกฯ กล่าวพร้อมยืนยันถ้าคณะรัฐมนตรีและตำรวจเอาจริงก็ต้องสำเร็จ
การนั่งหัวโต๊ะคุมปราบแก๊งมาเฟียของนายกฯ นอกจากสร้างความอุ่นใจให้แก่สังคมแล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ ก็พลอยกระตือรือร้นไปด้วย เพื่อสนองต่อนโยบาย
เชื่อว่าสังคมก็น่าจะเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐบาลใช้โอกาสนี้ปราบมาเฟียทั่วประเทศ
ข้าวตอกแตก